ตอนที่ 2: การทำงานวันแรก
ผมมักตัดสินใจเลือกอะไรผิดๆ เสมอ เลือกเพื่อนผิด เลือกรถแย่ๆ เลือกร้านอาหารรสชาติไม่ได้เรื่อง ผมท้องเสียไม่รู้ตั้งกี่ครั้งเพราะแบบนี้ และการตัดสินใจครั้งล่าสุดทำให้ผมได้งานนี้มา ยังไงก็ตาม ตอนนี้ผมเป็นบุรุษไปรษณีย์แล้ว ชุดฟอร์มของผมเป็นสีฟ้าอ่อน มันใส่สบายดีแถมมีแจ็คเก็ตมาให้ด้วย การได้งานทำอาจเป็นเรื่องดี แต่งานที่ผมพูดถึงอยู่นี้เป็นเรื่องอันตราย รับก็มีโอกาสตาย ไม่รับก็มีโอกาสตาย
ผมยืนอยู่หน้าอาคารของออฟฟิศที่ต้องมาฝึกงาน ผมมีบัตรรูดเข้างานในมือแต่เดินไปมาอยู่ตรงนั้นเพราะใจจริงไม่ได้อยากจะเข้าไปเลย ถึงเช้านี้จะอากาศเย็นแต่เหงื่อผมแตกเต็มไปหมด ใจไม่อยากเริ่มงานแต่ก็กลัวสิ่งที่อาจเกิดขึ้นถ้าไม่ทำงานนี้ ผมตัดสินใจรูดบัตรแล้วเดินเข้าไปในอาคาร รู้สึกหนักอึ้งในอกขณะประตูเลื่อนปิดล็อคตามหลัง
ห้องที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ออกจะว่างเปล่า ทั้งผนังและพรมบนพื้นเป็นสีขาวเหลือง มีเสียงฮัมของหลอดไฟเหนือหัวดังต่อเนื่องในแบคกราวน์ ที่กลางห้องมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานแบบพับได้ เธอไม่ได้มองหรือกล่าวทักทายผมด้วยซ้ำ เอาแต่นั่งอ่านนิตยสารตรงหน้าด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ผมเดินเข้าไปหาเธอ รู้สึกเสื้อเปียกเหงื่อแนบติดแผ่นหลัง เธอยังคงไม่มองผม เอามือข้างหนึ่งรองใต้คาง เป่าหมากฝรั่งแล้วบีบมันแตกเสียงดังด้วยริมฝีปาก
“ผมเอ่อ..” ผมเริ่มพูด เธอมองขึ้นมาทางผมและผมถอยหลังกลับอย่างไม่รู้ตัว เธอดูเหมือนพนักงานสาวสวยทั่วไป จะต่างกันก็ตรงที่ตาของเธอเป็นสีเหลืองสว่างและปากที่ยาวเกินกว่าใบหน้าของเธอ “คู่หูคุณจะมาถึงในไม่ช้านี้ล่ะ มีบุหรี่หรือเปล่า?” เธอถามเสียงแหบ
ผมส่ายหน้าและเธอหมดความสนใจในตัวผม ผมได้งานเป็นบุรุษไปรษณีย์ ถ้าเป็นงานธรรมดา ผมคงแค่ต้องกังวลเรื่องรถราและหมาดุ แต่งานนี้ไม่ธรรมดาเลยสักนิดเดียว พัสดุที่ผมต้องส่งเป็นพัสดุของปีศาจ ผมรู้ว่ามันฟังดูออกจะน่าขัน แต่เดาว่าแม้แต่สัตว์ประหลาดอย่างบิ๊กฟุตก็คงได้รับพัสดุบ้างเป็นครั้งคราวละมั้งนะ
“ก๊อก ก๊อก!”
ผมหันไปทางที่มาของเสียงจากอีกด้านของห้อง มีประตูอีกบานที่ผมไม่ได้สังเกตเห็นเมื่อครู่เปิดออกและหัวของคนที่ผมคิดว่าเป็นคู่หูผมโผล่ออกมา ผมไม่ค่อยชอบคนประเภทที่พูดว่า “ก๊อกๆ” ก่อนเดินเข้าประตูมาอย่างร่าเริงแบบนั้นสักเท่าไหร่ เขาไม่ได้สังเกตเห็นผมขมวดคิ้วและยิ้มแฉ่งมาทางพวกเรา เขาสวมชุดฟอร์มเหมือนกันกับผมแต่ชุดฟอร์มดูเหมาะกับร่างกำยำของเขามากกว่าผมเยอะ เขาน่าจะสูงอย่างน้อย 200 กว่าเซ็นต์และร่างกายแข็งแกร่งเหมือนรถถัง เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็มาถึงพวกเราแล้ว เขาใช้สองมือกุมมือผมเพื่อทักทายอย่างตื่นเต้น ใบหน้าแสนใจดีของเขาดูไม่เข้ากันเลยกับร่างมหึมาน่าเกรงขาม ตอนเราจับมือกัน ผมละสายตาไปจากส่วนหัวของเขาไม่ได้เลย ผมต้องเงยหน้าจนปวดคอถึงจะมองเห็นว่าเขามีหูของสุนัข สมองผมคิดไม่เป็นเลยตอนนี้ คู่หูร่างสูงกำยำตรงหน้าผมมี.. หูหมาขนฟูสีน้ำตาลอ่อน ผมอึ้งอยู่เป็นนานจนในที่สุดก็บังคับสายตาตัวเองให้หยุดมองไอ้หูนั่นได้ แต่มีรายละเอียดอื่นเกี่ยวกับเขา เขาพับกางเกงเครื่องแบบขึ้นไปถึงหัวเข่าเพื่อรองรับขาที่มีรูปร่างเหมือนขาสุนัขปกคลุมไปด้วยขนสีน้ำตาลอ่อนสีเดียวกันกับขนที่ใบหู อุ้งเท้าของเขามีกรงเล็บใหญ่และแหลมคมมากพอจะใช้ตัดก้อนอิฐจนขาดครึ่งได้ แถมฟันก็คมเสียด้วย มือของเขาดูเหมือนมือคนมากอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังมีกรงเล็บที่ส่วนปลาย ตอนจับมือกันเขาระวังเอามากๆ ที่จะไม่ข่วนผมเข้าโดยไม่ตั้งใจ ที่จริงผมก็พอรู้นะว่าคู่หูของผมจะไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะมีคู่หูเป็นปีศาจครึ่งคนครึ่งสุนัข
“นายเป็นหมาเหรอเนี่ย?” ผมพลั้งปากถาม
“หมาคืออะไรเหรอ?” เขายังคงยิ้มกว้างหลังถามกลับ ดูเหมือนไม่รู้จริงๆ ว่าหมาคืออะไร เขาดูใสซื่อจนผมเกือบหลุดหัวเราะออกมา พนักงานต้อนรับเต๊าะหมากฝรั่งในปากแตกเสียงดังทำให้พวกเราสองคนต้องหันไปมอง จากนั้นนึกขึ้นมาได้ว่าควรต้องเริ่มงานกันได้แล้ว
“ฉัน–” คู่หูผมแนะนำตัว เขาบอกชื่อผมแต่ด้วยความที่เขาไม่ใช่มนุษย์ ชื่อของเขาเลยเป็นอะไรที่มนุษย์อย่างเราออกเสียงตามไม่ได้ มันฟังดูเหมือนเสียงคำรามเสียมากกว่า และหลังจากที่พยายามออกเสียงตามอยู่สองสามนาที ทั้งเขาและผมถึงได้เข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้
“รูฟัส” พนักงานต้อนรับสาวพูดโดยไม่ได้มองพวกเราด้วยซ้ำ
“อ้อ จริงด้วย! ชื่อภาษาคนของฉันคือรูฟัส! นายชื่อโทบี้ใช่หรือเปล่า? ดีใจที่ได้ร่วมงานกันนะ!” รูฟัสพูดพลางยิ้มกว้าง นี่ถ้าฟันของเขาไม่ได้คมแบบนั้น มันคงเป็นยิ้มที่น่าดูมากเลยล่ะ
เขาเป็นพันธุ์เดียวที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้ นี่.. นายต้องไปส่งจดหมายนี้ให้ ‘มิสเตอร์ช่างพูด’ เธอพูดพลางดึงซองจดหมายสีแดงสดจากข้างใต้นิตยสารแล้วยื่นให้รูฟัส
รูฟัสกล่าวขอบคุณเธอแล้วเอาซองจดหมายใส่กระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตอย่างดี เขาพร้อมจะเริ่มงานแล้วแต่ผมสิยังไม่พร้อม ยังคงสับสนกับทุกอย่าง รูฟัสสังเกตเห็นสีหน้าผมแล้วยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรอีกครั้ง
“วันนี้พวกเราต้องไปที่เขาวงกตกัน” เขาเริ่มพูด
“เขาวงกตเหรอ?” ผมถามช้าๆ
ช่วงรอเข้าทำงาน ผมใช้เวลาเป็นอาทิตย์หาอ่านข้อมูลเกี่ยวกับปีศาจตัวประหลาดต่างๆ แต่ไม่เคยอ่านเจออะไรที่เรียกว่า “เขาวงกต” เลย ตอนนั้นผมไม่ได้อยากเชื่อเรื่องอะไรแบบนี้เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ที่มีปีศาจครึ่งมนุษย์ครั้งหมายืนอยู่ตรงหน้า ผมควรจะเริ่มทำใจให้เชื่อได้แล้ว
“อืม.. จะอธิบายยังไงดี? มันเหมือนกับตึกสองชั้นพร้อมห้องหลายๆ ห้องน่ะ ชั้นแรกสว่างและซอยเป็นห้องๆ หลายห้องและห้องโถง ส่วนอีกชั้นจะเป็นชั้นมืด ฉันว่าแต่ละคนจะเห็นสถานที่นี้แตกต่างกันไป แต่พวกเราจะไปในเวอร์ชั่นที่ปลอดภัยของที่นั่น เราจะไปที่ชั้นแรกอย่างเดียว และเพราะนายเป็นมนุษย์ เขาวงกตอาจจะอันตรายอยู่บ้าง แต่ชุดฟอร์มจะปกป้องนายจากแทบจะทุกอย่างที่อันตรายที่นั่น ปีศาจที่ชั้นแรกจะไม่ทำร้ายนาย ที่จริงพวกมันมองนายไม่เห็นด้วยซ้ำ มิสเตอร์ช่างพูดอยู่ที่ชั้นแรก เขาอาจจะดูน่ากลัวแต่ที่จริงเขาเป็นมิตรน่าดูเลย! อ้อ.. จริงสินะ นายเป็นมนุษย์ เพราะฉนั้นเขาอาจจะไม่เป็นมิตรกับนายก็ได้ แต่ก็เอาเถอะ ฉันแค่หมายความว่า นายไม่ต้องกังวลอะไรหรอก เพราะพวกเราเป็นบุรุษไปรษณีย์ ปีศาจพวกนี้อยากได้พัสดุ เพราะงั้นพวกเขาไม่ทำอะไรพวกเราหรอก”
ผมรู้ว่ารูฟัสพยายามทำตัวเป็นคู่หูที่ดีและไม่อยากให้ผมกังวล แต่จากที่เขาอธิบายให้ฟังเมื่อกี้ ผมไม่ชอบเอาเลย อีกอย่าง ตอนอธิบายงานให้ผมฟัง เขาหันข้างนิดนึงและผมเห็น.. ผมเห็นหางฟูฟ่องที่ด้านหลังของเขา ให้ตายสิ.. ผมแทบรับไม่ได้แน่ะ คู่หูผมตัวโตเหมือนรถถังแต่มีหางเป็นพวงโครตน่ารัก ผมรับไม่ได้จริงๆ จะน่ารักไปไหน เขาน่าจะเลือกเอาสักอย่าง ว่าจะดูกำยำน่าเกรงขามหรือว่าน่ารักขนฟู ทำไมเขาต้องเป็นทั้งสองอย่างด้วยวะเนี่ย! ผมไม่ชอบเลย เขาใช้มือขนาดใหญ่ตบไหล่ผมเบาๆ แล้วหัวเราะ
“ไม่เป็นไรน่า นายจะปลอดภัย ฉันจมูกดี พวกเราไม่มีทางหลงแน่ แค่ระวังอย่าไปเผลอพูดกับมนุษย์คนอื่นที่หลงอยู่ในเขาวงกตก็พอ งานของเราคือการส่งพัสดุ ไม่ใช่ช่วยชีวิตมนุษย์ มันจะเป็นปัญหาใหญ่ถ้าเราทำอะไรนอกเหนือไปจากหน้าที่ของเรา แต่นายทำได้ดีมากมาจนถึงตอนนี้แล้วนี่นะ! นายเดินเข้ามาในเขาวงกตนี่ตั้งก้าวหนึ่งแล้ว จะไปต่ออีกสักสองสามก้าวจะเป็นไรไป จริงไหม?”
ผมดุ้งแล้วหันมองรอบตัว มันรู้สึกแปลกๆ อยู่ นี่มันพื้นที่เหนือธรรมชาติเหรอเนี่ย “ห้องนี้เป็นส่วนหนึ่งของเขาวงกตเหรอ?” ผมถามพลางกวาดตามองไปรอบห้อง
“เราเรียกมันว่าห้องหมายเลขศูนย์ มันเป็นพื้นที่ส่วนกลางสำหรับการประชุมหรือนัดพบกันน่ะ” รูฟัสอธิบาย
ก็จริงนะ ยังไงซะผมก็ก้าวเข้ามาที่นี่แล้ว จะไปต่ออีกหน่อยคงไม่เป็นไร อีกอย่าง ผมยังมีคู่หูร่างยักษ์คอยปกป้องอีกด้วย ถึงเขาจะไม่ใช่มนุษย์ก็เถอะ
ผมรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยขณะเดินตามรูฟัสไปที่ประตูอีกด้านหนึ่งของห้อง ก่อนจะออกไปจากห้อง รูฟัสหันกลับไปพูดกับพนักงานต้อนรับสาว “ไปซื้อไข่มาทำอาหารค่ำคืนนี้ด้วยนะ” เขาพูด ตอนผมหันไปมองเขางงๆ เขายิ้มอย่างใจดี “นั่นลูกสาวฉันเอง จากการแต่งงานครั้งที่สามน่ะ”
ผมตกใจนิดหน่อย สองคนนี้ไม่เหมือนกันเลยสักนิด แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาจะมาคิดถึงเรื่องนี้ พวกเราเดินผ่านประตูดังกล่าวและเข้าสู่ “เขาวงกต” ความหวาดกลัวของผมกลับมาอีกครั้งแบบเต็มอัตรา สถานที่นี้ดูเหมือนกันกับห้องที่พวกเราเพิ่งจากมาเมื่อครู่เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่า ผมหันกลับไปมองที่ประตูและเห็นว่ามันหายวับไปแล้ว ไม่มีทางกลับออกไปได้อีกแล้ว..
สองสามห้องแรกที่พวกเราเดินผ่านมีผนังวอลเปเปอร์สีครีม ส่วนพื้นเป็นพื้นไม้ทาสีขาว มันให้ความรู้สึกเหมือนมีห้องมากมายไม่มีที่สิ้นสุด พอเดินต่อไปสักพัก พื้นไม้ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นพื้นพรม
ผมเดินตามเพื่อนร่วมงานคนใหม่ มองไปรอบๆ พลางเงี่ยหูฟังดูว่าจะมีเสียงอะไรบ้างในนี้ ผมเข้าใจเอาว่ามีสัตว์ประหลาดอยู่แถวนี้และผมไม่อยากต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน ถึงรูฟัสจะบอกว่าชุดฟอร์มปกป้องผมอยู่ก็ตาม พูดถึงชุดฟอร์ม.. ผมอยากรู้เหมือนกันว่ามันปกป้องผมยังไง เนื้อผ้าก็ไม่ได้หนาอะไรขนาดนั้น ถ้ามีตัวอะไรที่มีกรงเล็บผ่านมาและอยากกินผมเป็นอาหารละก็ ผมว่ามันคงปกป้องผมไม่ได้มากเท่าไหร่นัก ผมเลยตัดสินใจถามคำถาม
“เอ่อ ไอ้ชุดฟอร์มนี่มันทำงานยังไงเหรอ?” ผมถาม
“อ๋อ!” รูฟัสหันมามองผมด้วยสีหน้าเป็นมิตร เขาดูเหมือนหมาตื่นเต้นยังไงยังงั้น “มันพิเศษมากเลยล่ะ! ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันทำขึ้นมายังไงแต่ได้ยินมาว่ามันมีเส้นผมของซิลเวอร์คิงอยู่ในเนื้อผ้าด้วย ดังนั้นมันจะต้องแข็งแรงมากแน่ๆ อืม.. จะใช้อะไรเป็นตัวอย่างที่มนุษย์อย่างนายจะเข้าใจดีนะ?.. อย่างเสื้อกันกระสุนละมั้งนะ ถ้านายถูกยิงจะไม่รู้สึกอะไรเลย แถมมันยังทำให้ปีศาจส่วนมากมองไม่เห็นนายอีกด้วย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านายจะฆ่าไม่ตายนะ มีปีศาจบางตนที่ฉีกชุดฟอร์มขาดได้ แต่นี่เป็นวันทำงานวันแรกของนาย คงไม่เจออะไรแบบนั้นหรอก.. ฉันหวังว่างั้นนะ..”
เขาพูดประโยคสุดท้ายเสียงเบาหวิวเหมือนเสียงกระซิบผมแทบฟังไม่ได้ยิน ผมเคยเจอซิลเวอร์คิงมาก่อน และเขาเป็นเหตุผลที่ผมติดอยู่กับไอ้งานบ้านี่ ตอนนี้ผมพอเข้าใจแล้วว่าชุดฟอร์มนี่ทำงานยังไง แต่ก็ยังกลัวอยู่ดีที่ต้องมาเดินหลงอยู่ในสถานที่บ้าๆ นี่
ตอนพวกเราเดินกันต่อ ผมเริ่มเห็นว่าผนังห้องมีจุดลายอะไรบางอย่าง มันเป็นข้อความของพวกคนที่หลงอยู่ในนี้ พวกเขาใช้อะไรก็ตามที่พอหาได้มาเขียนบนผนัง เดาเอาว่าอาจจะเป็นน้ำยาทาเล็บ หรือไม่ก็ใช้เล็บขุดผนังเพื่อเขียนข้อความบนวอลเปเปอร์ ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอื่นนอกจากเสียงเดินบนพรมเบาๆ ของพวกเราเองและเสียงฮัมของหลอดไฟเหนือหัว
ดูเหมือนรูฟัสรู้ดีว่ากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนถึงแม้ว่าทุกอย่างจะดูเหมือนกันไปหมด พอเดินต่อไปเรื่อยๆ ผมเริ่มมองเห็นข้อความและรอยเปื้อน ผมหยุดอยู่หน้าผนังจุดหนึ่งที่มีลายมือเขียนไว้หยาบๆ ด้วยปากกาชาร์ปปี้หมึกเลือนลาง มันเป็นชื่อและที่อยู่ แค่นั้นเอง ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงหยุดดู มีชื่อเขียนบนผนังนี้มากมายนับไม่ถ้วน เดาเอาว่าอาจจะเป็นชื่อของคนที่มาตายในสถานที่ประหลาดแห่งนี้ หรือไม่ก็กำลังเดินหลงอยู่ที่ไหนสักแห่งที่นี่ตอนนี้ ครอบครัวของพวกเขาคงกำลังรอให้พวกเขากลับบ้าน ผมมีมือถือในประเป๋ากางเกง เลยหยิบมันออกมาถ่ายรูปข้อความนั้นโดยไม่รู้ตัว
“อย่าทำแบบนั้นจะดีกว่านะ”
ผมตัวแข็งทื่อตอนได้ยินเสียงรูฟัส อยู่ๆ ก็เหมือนมีความตึงเครียดบางอย่างระหว่างเรา เขาพูดความจริง มันจะดีที่สุดถ้าผมไม่พยายามตามหากลุ่มคนที่หลงอยู่ในนี้ ไม่มีผลดีอะไรที่จะทำแบบนั้น ผมปิดมือถือแล้วเอามันเก็บในกระเป่ากางเกงตามเดิม
ผมคิดว่าเขารู้สึกผิดที่ทำให้บรรยากาศรู้สึกกระอักกระอ่วน เพราะเขาเอาแต่หันกลับมามองผม เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามหาอะไรมาพูดเพื่อชวนคุย
“รู้มั้ย ที่นี่เปลี่ยนไปเยอะตั้งแต่ฉันมาที่นี่ครั้งก่อน เพราะเขาวงกตปรับตัวเข้ากับความคาดหวังของมนุษย์และมันจะไม่เหมือนกันเลยทุกครั้งที่เรามาที่นี่ คนสองคนอาจจะเดินเข้ามาด้วยกันแต่จะมองเห็นสิ่งที่แตกต่างกันไป ครั้งก่อน ที่นี่กลิ่นเหมือนสารเคมี น้ำยาทำความสะอาด แต่ตอนนี้มันค่อนข้างดีเลยล่ะ เข้าใจแล้วว่าทำไมมีปีศาจย้ายมาอยู่ที่นี่กันเยอะขึ้น ที่นี่พื้นที่กว้างขวาง แถมได้กินฟรีอีกต่างหาก”
รูฟัสพยายามหาเรื่องคุย ตอนพูดว่า “กินฟรี” เขาชี้ไปที่รอยเปื้อนบนผนังที่พวกเราเพิ่งเดินผ่าน ผมขมวดคิ้วแล้วมองเขาอย่างหวาดหวั่นเพราะรู้ว่าเขาพูดถึงอะไร
“อ้า.. ฉันลืมเรื่อยเลยว่านายเป็นมนุษย์ โทษทีนะที่พูดแบบไม่ได้คิด” เขาพูดเก้อๆ
หลังจากนั้น เราสองคนตัดสินใจเดินกันต่อเงียบๆ ผมแค่อยากจะหามิสเตอร์ช่างพูดให้เจอแล้วรีบออกไปจากที่นี่ ถึงพวกเราจะยังไม่เห็นใครเลย แต่แน่นอนว่าหลายต่อหลายคนตายในสถานที่แห่งนี้ ในเมื่อที่นี่เงียบขนาดนี้ อะไรกันนะที่ฆ่าคนพวกนี้แล้วเอาศพพวกเขาไปด้วย ทิ้งรอยเปื้อนพวกนี้ไว้ข้างหลัง
ด้วยความที่ผมปิดมือถือเมื่อกี้ เลยไม่รู้ว่าเดินอยู่ในนี้นานแค่ไหนแล้ว รู้สึกเหมือนว่าพวกเราเดินกันกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วและเดินลึกเข้าไปทุกที และอยู่ๆ พวกเราก็มาถึงประตูบานหนึ่ง ผมหวังจริงๆ ว่าพวกเราได้มาถึงที่ที่จะต้องส่งจดหมายแล้ว แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะยังต้องเดินต่ออีก รูฟัสหยุดหน้าประตูและยืนนิ่งสักพักก่อนเปิดเข้าไป เขามองลงมาที่ผม สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“นายร้องเพลงอะไรได้บ้างหรือเปล่า?” เขาถาม
มันเป็นคำถามพิลึกแบบไม่มีที่มาที่ไป แต่ก็นั่นล่ะ ผมควรต้องปล่อยไปตามน้ำถ้ายังอยากกลับออกไปอย่างปลอดภัย “ก็พอได้อ่ะ ทำไมเหรอ?” ผมมองไปรอบๆ พยายามดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง พวกเรายังคงอยู่กันลำพังล้อมรอบด้วยร่องรอยแห่งความตายรอบตัว
“ห้องนี้มันอาจจะ.. ทำให้คนที่ยังไม่คุ้นกับกลิ่นบางอย่างเครียดได้ และฉันค้นพบว่าการร้องเพลงพอจะช่วยหันเหความสนใจจากกลิ่นนั่นได้บ้างและจะช่วยให้ผ่านมันไปได้”
รูฟัสใจดีที่คิดถึงความยังใหม่ต่องานของผมและเตือนผมล่วงหน้า ผมไม่รู้หรอกว่าการร้องเพลงจะช่วยได้มั้ย แถมยังรู้สึกเขินๆๆ ที่ต้องร้องเพลงออกมาดังๆ ต่อหน้าคนอื่น แต่ผมควรเชื่อใจเขาและพยายามทำตามที่เขาแนะนำ แต่ตอนนั้นสมองสุดจะทื่อของผมคิดอะไรไม่ค่อยจะออก เพลงเดียวที่นึกได้คือเพลงประกอบหนังการ์ตูนที่เคยดูสมัยเด็ก มันเป็นเพลงสั้นๆ ผมหน้าแดงขึ้นมาเฉยๆ นี่จะร้องเพลงในสถานการณ์แบบนี้ได้ยังไงวะเนี่ยเรา ผมเริ่มเปิดปากร้อง และรูฟัสฉลาดมากพอจะจำเนื้อเพลงได้หลังจากผมร้องรอบแรกจบ และร่วมร้องไปกับผมด้วยหลังจากนั้น มันช่วยให้ผมรู้สึกเหมือนเตรียมตัวมาดีขึ้นจริงๆ สำหรับอะไรก็ตามที่รออยู่หลังประตูบานนั้น
รูฟัสไม่ได้หยุดร้องเลยสักนิดตอนเปิดประตูบานนั้นและกลิ่นเจ้ากรรมแตะจมูกพวกเรา ท้องไส้ผมเริ่มปั่นป่วนเหมือนจะอ้วกแต่ก็แปลกที่การร้องเพลงช่วยบรรเทาความเวียนหัวได้บ้าง ผมก้าวไปข้างหน้าเพียงก้าวเดียวก่อนความพยายามทั้งหมดในร่างตอนนี้จะละลายหายไปหมด
มันเป็นห้องขนาดเล็ก เดินสักสิบก้าวก็น่าจะข้ามไปถึงอีกด้านหนึ่งของห้องแล้ว แต่ไอ้สิบก้าวนั่นตอนนี้มันมากเกินไปสำหรับผม ทั้งห้องเปียกโชกไปด้วยเลือด ผมอาจจะพอทนกลิ่นเน่าได้ แต่สิ่งที่ตาเจ้ากรรมมองเห็นอยู่ตอนนี้ทำเอาขาผมสั่น ด้วยความที่ตัวห้องเองก็เป็นสีเดียวกัน ผมเลยไม่ทันได้สังเกตเงาตะคุ่มที่ดูคล้ายร่างมนุษย์ในตอนแรก มีกองอวัยวะและเศษเนื้อขนาดมหึมา ผมพยายามหรี่ตามองและเห็นชิ้นส่วนหัวและแขนขาเต็มไปหมด ผมไม่อยากมอง ไม่อยากเห็น เลยหลับตาแล้วก้าวขาไปข้างหน้า รูฟัสยังคงร้องเพลงอยู่ข้างหน้า ดังนั้นถ้าผมแค่ตามเสียงเขาไป ผมก็ไม่ต้องลืมตามองสิ่งเลวร้ายตรงหน้า อวัยวะและชิ้นส่วนโชกเลือดกองอยู่ที่มุมห้อง ถ้าผมเดินเป็นเส้นตรงตามหลังคู่หูไปคงจะไม่ไปเหยียบกองเนื้อมนุษย์นั่นแน่ ผมพยายามร่วมร้องเพลงไปกับรูฟัสแต่ก็ทำได้แค่ร้องอ่อยๆ ออกมาสองสามประโยคเท่านั้น
จนถึงตอนนี้ ผมยังไม่ได้เผชิญกับอันตรายอะไรจริงจัง ยังไม่ได้พบเห็นสัตว์ประหลาดตนไหนนอกจากรูฟัส เขาพยายามเต็มที่ที่จะปลอบผมและบอกว่าถึงจะมีอะไรจู่โจม ผมก็จะยังปลอดภัย แต่ถึงผมจะรู้แบบนั้นก็ยังทำใจยอมรับห้องนี้ไม่ได้ ทุกย่างก้าวทำผมขนหัวลุกและท้องไส้ปั่นป่วน เลือดบนพื้นเกาะหนึบดูดรองเท้าผมติดพื้น ตอนเหยียบไปโดนเท้าผมจะลื่นนิดหน่อยบนพื้นเปียกโชกไปด้วยเลือด มือผมเริ่มสั่นผมเลยยัดมือเข้ากระเป๋ากางเกงเพื่อซ่อนความหวาดกลัว
“เอ้าไปกันเถอะ.. ไปกันเถอะ..” ผมพร่ำเนื้อร้องออกมาเบาๆ เสียงสั่นเทา
ตอนนั้นเอง ตรงกลางระหว่างเสียงผมและเสียงรูฟัส ผมได้ยินอีกเสียงหนึ่ง เป็นเสียงกระซิบเบาๆ ดังมาจากด้านหลัง เสียงนั้นแผ่วเอามากๆ จนผมไม่ได้ยินอะไรในตอนแรก
“ช่วยด้วย…..”
ไม่มีอะไรในกองเลือดโชกตรงมุมห้องที่ยังจะมีชีวิตอยู่ได้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีอะไรในห้องนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่นอกเหนือไปจากผมและรูฟัส ผมคงหูฝาดไปเองเพราะความเครียดถึงขีดสุด ผมร้องเพลงดังขึ้นอีกหน่อยเพื่อกลบเสียงกระซิบที่ได้ยิน
“ช่วยด้วย….”
ผมรู้ว่าเดินอีกแค่ไม่กี่ก้าวก็จะออกไปจากฝันร้ายนี่ได้แล้ว ผมยืนทื่อตอนรู้สึกบางอย่างปัดมาโดนข้อเท้า มือใครคนหนึ่งคว้าจับข้อเท้าผมเอาไว้ มันเป็นการคว้าจับที่อ่อนแรง ผมตัวสั่นตอนรู้สึกถึงของเหลวเหนียวไหลลงถุงเท้าจากมือข้างนั้น ผมได้ยินเสียงขอให้ช่วยแผ่วเบาอีกครั้ง อยู่ๆ เรี่ยวแรงมาจากไหนไม่รู้ ผมก้าวกระโดดพลางถีบขาอย่างแรงจนข้อเท้าหลุดจากมือปริศนา จากนั้นวิ่งไปอีกด้านหนึ่งของห้อง รูฟัสปิดประตูตามหลัง ส่วนผมทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นหลังพิงผนัง ตัวสั่นอย่างแรงด้วยความกลัวน้ำตาคลอเบ้า ผมนอนตัวงอ หัวงุ้มเข้าหาเข่า พยายามสงบสติอารมณ์ ถึงชุดฟอร์มจะปกป้องผมจากกระสุนหรือตัวประหลาด แต่มันก็ปกป้องผมจากความช็อกและบาดแผลทางใจไม่ได้ รูฟัสคู่หูใจดีของผมยืนรออยู่เงียบๆ ให้ผมได้ตั้งสติ ผมรู้ว่าเขาจะเต็มใจให้เวลานานเท่าที่ผมต้องการเพื่อเรียกขวัญกลับคืนมา แต่งานที่เราทำมีเวลาจำกัด
“จดหมายซองสีแดงมีเวลาจำกัด ถ้าเราไม่จัดส่งให้ทันเวลามันจะระเบิด ชุดฟอร์มนายจะปกป้องนาย แต่.. มันจะทำลายห้องที่พวกเรายืนอยู่ตอนนี้และอาจทำให้พวกเราหลงทาง เพราะงั้น เอ่อ.. เราต้องรีบหน่อยแล้วล่ะ ฉันสัญญาว่าเราใกล้ถึงที่หมายแล้ว เหลืออีกแค่สองห้องเท่านั้นเอง” รูฟัสพูดเบาๆ
ผมยังจ้องอยู่ที่รองเท้าผ้าใบโชกเลือดของตัวเอง ก่อนรวบรวมพลังใจทั้งหมดแล้วลุกยืน เหลืออีกแค่สองห้อง ผมต้องทำงานนี้ให้เสร็จ จะได้รีบออกไปจากที่นี่ พอมองไปรอบตัวผมก็ต้องแปลกใจเพราะทุกอย่างกลับคืนสู่ภาวะปกติ เอ่อ.. ก็ปกติสำหรับสถานที่พิลึกๆ นี่ล่ะนะ ผนังเปลี่ยนเป็นสีครีมอีกครั้งโดยไม่มีรอยขีดเขียนหรือรอยเปื้อนอะไร
ตามที่รูฟัสบอก เราเดินผ่านอีกสองห้องก็มาถึงห้องสุดท้ายที่สุดทางเดิน สำหรับผมแล้วมันดูเหมือนห้องอื่นๆ ไม่มีผิด ผมนึกดีใจที่มีรูฟัสเป็นคู่หูนำทาง
“มิสเตอร์ช่างพูดน่าจะอยู่หลังประตูบานนี้แหละ แค่เคาะแล้วเขาจะโผล่มาเอง รูฟัสบอกผมตอนเดินผ่านห้องสุดท้ายเข้าไป มันเป็นทางตัน ทางตันแรกที่ผมได้เห็นในสถานที่แห่งนี้ และตอนนั้นเอง.. ผมได้เห็นเธอ
เด็กตัวเล็กๆ อายุไม่น่าเกินสิบปีกำลังดิ้นกระเสือกกระสนเพราะขาติดอยู่ในพื้นด้านล่าง เธอมอมแมมเหมือนติดอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว มีท่าทางตื่นกลัวสุดชีวิต เธอดิ้นสุดกำลังและพลิกขาในท่าที่ดูแล้วคงทำให้เจ็บน่าดู ดูเหมือนขาจะหลุดออกจากพื้นได้นิดนึง ถ้าดิ้นแรงอีกนิดเธออาจจะหลุดออกมาได้ รูฟัสมองผมแล้วยิ้ม
“เธอติดอยู่ระหว่างพื้น ที่จริงเธออยู่ที่ชั้นสองแค่ขาติดอยู่ที่นี่เลยทำให้ดูเหมือนเธออยู่ที่ชั้นนี้ ที่นี่ก็แปลกแบบนี้แหละ แต่ฉันว่าเราไปกันเถ–”
ผมไม่ได้รอรูฟัสพูดจบ จะปล่อยเธอไว้แบบนี้ไม่ได้ ผมวิ่งไปข้างหน้าแล้วเอาแขนโอบเธอพยายามช่วยดึง ทันทีที่ผมแตะโดนตัวเธอ สิ่งแวดล้อมรอบตัวผมเปลี่ยนกะทันหัน ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในห้องน่าเบื่อแต่ค่อนข้างจะปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว รอบตัวผมตอนนี้มืดสนิท มีแค่ไฟเดินเท้าเล็กๆ ห่างออกไป เด็กน้อยที่น่าสงสารกรีดร้องพยายามสะบัดผมออกจากตัวเธอ ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ดูเหมือนว่าการแตะถูกตัวเธอพาผมมาที่ชั้นสองของที่นี่ ชั้นที่มืดมิดและอันตราย
“ฉันพยายามจะช่วย ไม่เป็นไรนะ!” ผมรีบบอกให้เธอใจเย็นลง ตอนพยายามช่วยดึงขาเธอให้หลุดจากพื้นอยู่นั้น มีบางอย่างพุ่งกระแทกหลังผมอย่างแรง รูฟัสพูดถูก ชุดฟอร์มนี่ช่วยปกป้องผมได้จริงๆ เท่าที่เห็น ไอ้ตัวประหลาดดูเหมือนก้อนขนขนาดมหึมาและฟันยาวเรียวเป็นแถว มันขม้ำเสื้อผ้าแต่กัดผ่านมาถึงเนื้อผมไม่ได้ ผมมองเห็นดวงตาเป็นร้อยเป็นประกายในความมืดกำลังมองมาทางเรา ทันใดนั้นมีเสียงคำรามดังขึ้นและผมรู้สึกเจ็บแปลบที่แก้ม ตอนนั้นเองผมนึกขึ้นมาได้ว่าชุดฟอร์มป้องกันอันตรายได้แค่ส่วนที่อยู่ใต้ชุดฟอร์ม แต่ส่วนหัวผมไม่มีอะไรปกคลุม ผมต้องรีบพาเราออกไปจากที่นี่ก่อนจะสายเกินไป เด็กน้อยหยุดดิ้นและตอนนี้มีผมคนเดียวที่พยายามดึงเธอให้หลุดจากพื้น
ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างคว้าจับแขนและร้องลั่น อยู่ๆ รูฟัสก็โผล่มา เขากระชากไอ้ปีศาจออกจากหลังผมแล้วเขวี้ยงมันออกห่างด้วยมือเพียงข้างเดียว
“ปล่อยเด็กนั่น! ถ้านายขืนแตะต้องเธอนานกว่านี้ นายเองจะติดอยู่ที่ชั้นนี้เสียเองและจะตายภายในสองนาที!” เสียงของเขาดุดันแต่ก็เต็มไปด้วยความห่วงใย
ผมรู้ว่าผมทำพลาดแต่ก็ยังส่ายหัว จะให้ทิ้งเด็กตัวเล็กๆ นี้ไว้ที่นี่ได้ยังไงกัน เงาตะคุ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้อีกครั้ง ผมเห็นแสงไฟกระทบฟันคมของพวกมันตอนพวกมันพยายามเข้าจู่โจมเรา รูฟัสตบพวกมันออกนอกทางไปได้ แต่แขนของเขาถูกกรงเล็บข่วนเป็นแผลฉกรรจ์ เขาจะดึงผมให้ออกห่างจากเด็กตัวน้อยนี่ก็ได้ แต่แทนที่จะบังคับผม เขาอยากให้ผมตัดสินใจเองอย่างถูกต้อง เขาช่างใจดีนัก
“นายต้องปล่อยเด็กนั่นไป เธอตายไปแล้ว” เขาพูด
เป็นไปไม่ได้ เมื่อกี้เธอยังขยับได้อยู่เลย ถ้าผมดึงเธอหลุดออกมาได้ พวกเราอาจจะมีโอกาสหนีออกไปจากที่นี่ด้วยกัน ผมน้ำตาคลอเบ้าอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ตอนนี้มองเห็นแต่แขนห้อยต่องแต่งไร้ชีวิตของเด็กน้อยและสร้อยข้อมือเปล่งประกายกระทบแสงไฟดวงเล็กๆ ในความมืด รูฟัสเตะบางอย่างเต็มแรงในความมืดขณะมืออีกข้างหนึ่งจับแขนผมเอาไว้ ผมมองไม่เห็นว่าเขาเตะอะไร แค่ได้ยินเสียงน่ากลัวเหมือนเสียงเนื้อขาดวิ่นในหนังสยองขวัญ และพอดูชัดๆ อีกที ขาข้างนั้นตั้งแต่หัวเข่าของเขาหลุดหายไปแล้ว จริงสินะ เขาพับขากางเกงชุดฟอร์มขึ้นเหนือเข่า ชุดฟอร์มเลยปกป้องขาของเขาไม่ได้ ผมรู้ว่าผมต้องปล่อยเด็กคนนี้ไป ไม่อย่างนั้นเราทั้งสองคนต้องตายแน่
ผมปล่อยเด็กไปในที่สุดและหันไปคว้าแขนรูฟัส ทันใดนั้นเองผมรู้สึกเหมือนตกจากที่สูง ทั้งร่างรู้สึกเหมือนถูกเหวี่ยงไปมาถึงพวกเราจะยืนกันอยู่เฉยๆ ก็ตาม อยู่ๆ แรงกระแทกพื้นทำเอาผมทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น รู้สึกเหมือนเพิ่งถูกรถชนไม่มีผิด ผมขยับไม่ได้อยู่สองสามนาที พอเปิดตาขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นว่าพวกเรากลับมาอยู่ที่ห้องทางตันอีกครั้ง เด็กคนนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงสร้อยข้อมือที่ตกอยู่บนพื้นข้างหลังผม
รูฟัสอาการไม่ดีเอาเลย มีกองเลือดที่ขนาดขยายใหญ่ขึ้นทุกทีจากขาข้างที่ขาดของเขา มันเป็นความผิดของผมเอง ผมน่าจะฟังที่เขาพูด งานผมคือการส่งพัสดุอย่างเดียวเท่านั้น รูฟัสเปิดเปลือกตา ดูเหมือนอ่อนแอเกินกว่าจะลุกนั่งไหว ผมนั่งข้างๆ รอให้เขาตะคอกหรือด่าผม โทษผมสำหรับทุกอย่าง “ฉันขอโทษ ฉัน..” ผมพูดอะไรไม่ออก รู้สึกเหมือนมีก้อนจุกที่คอ
“ไม่เป็นไร นายเป็นมนุษย์นี่นะ” เขายิ้มให้ผม ผมอยากให้เขาโกรธผมมากว่า ความใจดีของเขากรีดใจผมเหมือนมีดคม เขาล่วงมือเข้าในกระเป๋าแจ็คเก็ตแล้วหยิบเอาซองสีแดงออกมา เรื่องร้ายแรงทุกอย่างที่เกิดขึ้น.. มันเพื่อไอ้ซองแดงนี่แค่นั้นเอง เอาละ.. ผมแค่ต้องไปเคาะประตู ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่รอยยิ้มของรูฟัสทำให้ผมมีกำลังใจมากขึ้น ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปเคาะประตู จากนั้นก้าวถอยหลังสองสามก้าว ใจกลัวสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้
พอเคาะเสร็จ ประตูปลอมกลายเป็นประตูจริงที่เห็นได้ชัดเจนและมันเปิดออกเอง เผยให้เห็นความมืดสนิทภายใน ผมกำซองจดหมายในมือแน่นแล้วยื่นไปข้างหน้าตาจ้องความมืดสนิทข้างใน จากนั้นรอ สองสามวินาทีผ่านไปและผมเริ่มได้ยินเสียงแผ่วๆ ของฟันกระทบกันที่ดูเหมือนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมก้าวถอยหลังอีกก้าว
ทันใดนั้นเอง พื้นที่ประตูทั้งบานปรากฎใบหน้าขนาดมหึมา มันกระแทกเข้ากับกรอบประตูอย่างแรงจนกรอบเริ่มปริแตก ผมสะดุ้งแล้วล้มก้นจ้ำเบ้าด้วยความหวาดกลัวแต่ซองจดหมายยังอยู่ในมือ มันเป็นหน้าของมนุษย์ขนาดยักษ์ที่ใหญ่เต็มกรอบประตู เสียงพึมพำและเสียงฟันกระทบกันดังมาจากปากที่เปิดกว้างและปิดฉับๆ ด้วยความเร็วผิดธรรมชาติ มันกระแทกหน้าเข้ากับประตูซ้ำๆ พยายามจะผ่านกรอบประตูมาหาผมให้ได้ เสียงฟันกระทบกันดังสะเทือนในหู ผมเองก็ไม่รู้ว่าไปเอาความกล้ามาจากไหน แต่ลุกขึ้นยืน ขาสั่นพั่บๆ จากนั้นค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ผมหลับตาปี๋ไม่กล้ามองสัตว์ประหลาดตรงหน้า ตอนนี้ทั้งมันและผมอยู่ห่างกันไม่กี่นิ้ว จนกระทั่งฟันของมันกัดฉับเข้าที่มุมซองจดหมายแล้วหยุดกึก
ความเงียบทำให้ผมลืมตาขึ้นมอง สัตว์ประหลาดที่ชื่อมิสเตอร์ช่างพูดหยุดทำเสียงฟันกระทบกันในที่สุด และซองจดหมายสีแดงในปากเริ่มติดไฟและถูกเผาอย่างช้าๆ พอซองนั่นกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว สัตว์ประหลาดเปิดปากอีกครั้ง คราวนี้มีเสียงหัวเราะดังลั่นชวนขนลุกดังออกมา จากนั้นหัวทั้งหัวหุบเข้าหากันแล้วหายวับไปกับตา ประตูกระแทกปิดแล้วหายไปด้วย และตอนนี้กลับกลายเป็นผนังโล่งๆ อีกครั้ง ผมคงทำงานเสร็จสิ้นแล้ว ถึงจะไม่รู้ว่าเพิ่งจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
มีเสียงคลิกเบาๆ ดังขึ้นทำเอาผมสะดุ้ง พอหันไปมองผมก็โล่งอกเพราะเห็นประตูอีกบานปรากฎขึ้น คราวนี้เป็นประตูที่มีที่รูดบัตร ผมรู้ว่านี่เป็นประตูทางเข้าห้องหมายเลขศูนย์และเป็นทางออกไปจากไอ้สถานที่บ้าๆ นี่ ปัญหาคือผมจะลากรูฟัสกลับไปด้วยยังไงไหว น้ำหนักตัวเขาเยอะมากจริงๆ และตอนนี้เขาเดินไม่ได้แล้วด้วย ผมหันไปมองเขาและเห็นหมายืนสามขาตัวหนึ่งกำลังยืนมองมาทางผม มันสวมแจ็คเก็ตเดียวกันกับที่รูฟัสใส่ ที่เหนือตาสองข้างมีขนสีอ่อนกว่าส่วนอื่นของตัวดูเหมือนคิ้ว มันเป็นหมาญี่ปุ่นพันธุ์ชิบะที่ใครๆ ก็หลงรักเพราะความน่ารักและเป็นมิตรของพันธุ์นี้ เอาล่ะ.. ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายขึ้นหน่อย ผมรู้ว่าเขาเดินด้วยขาที่ยังเหลืออีกสามขาได้ แต่ผมเดินไปอุ้มหมาน้อยขึ้นมา พลางซบหน้าลงกับขนนุ่ม ผมน้ำตาไหลอาบแก้ม
“ฉันขอโทษนะ” ผมบอกมันอย่างจริงใจและได้ยินเสียงเห่าตอบ
ห้องหมายเลขศูนย์ดูเหมือนห้องอื่นๆ ทั้งหมด พนักงานต้อนรับสาวมองเราอยู่นานก่อนลุกเดินมาอุ้มรูฟัสไปจากผม “หนูชนะพนันกับลูกคนอื่นๆ ของพ่อ พวกเขาคิดว่าพ่อต้องตายแน่ พ่อทำได้ดีมากเลยที่รอดมาได้”
ผมช็อกที่เธอไม่ได้โกรธหรือโมโหอะไรผมเลย ทั้งที่ผมเองเป็นคนทำให้พ่อเธอเกือบตาย “พนักงานอีกคนเป็นฝาแฝดคุณเหรอ?”
เธอหันมามองอย่างแปลกใจ เธอสวมชุดเดียวกันกับสาวคนแรกที่ผมพบแต่เธอคนนี้ดูใจดีกว่ามาก จะต้องเป็นคนละคนกันแน่ๆ
“ก็ประมาณนั้นล่ะ เอาเถอะ วันนี้นายทำงานเสร็จแล้ว เราจะส่งข้อความถึงนายตอนงานใหม่มาถึง ตอนนี้กลับไปได้แล้ว”
เธอชี้นิ้วโป้งข้ามหัวไหล่ไปทางประตู รูฟัสเห่าเบาๆ เพื่อบอกลา ผมไม่เคยรู้สึกเหนื่อยล้าเท่านี้มาก่อนในชีวิตการทำงาน พอออกมาได้ ผมหรี่ตาเพราะแสงแดดตรงหน้า ขยับเสื้อแจ็คเก็ตให้เข้าที่เพื่อรับลมหนาว ผมออกมาจากอาคารแห่งนั้นแล้วกลายเป็นคนละคนกับคนที่เดินเข้าไปข้างในเมื่อกี้ ผมดึงมือถือออกมาเช็กเวลาและต้องงงที่เห็นว่าเวลาเพิ่งผ่านไปแค่สองนาทีเท่านั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อกี้เกิดขึ้นภายในเวลาแค่สองนาทีในโลกแห่งความจริง
พอกลับถึงบ้าน ผมยอมรับว่าร้องไห้หนักที่สุดเท่าที่เคยร้องมา ผมรู้ตัวดีว่าจะกลัวการต้องได้รับข้อความว่าต้องไปส่งพัสดุให้ปีศาจอีกครั้ง แต่ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าจะทำงานนี้ต่อ อย่างน้อยก็เพื่อรูฟัสคู่หูคนแรกของผม เขายอมสละขาข้างหนึ่งเพื่อให้ผมอยู่รอด ผมต้องตอบแทนบุญคุณนั้นด้วยการเป็นบุรุษไปรษณีย์ให้ปีศาจ
(โปรดติดตามตอนต่อไป..)
---------------------------------
**Special thanks to 02321, the author of the original story. You are awesome!
1 ความคิดเห็น
ชิบะมีกล้ามนี่พาลนึกถึงมีม strong doge เลย
ตอบลบ