ตอนที่ 4
ผมชื่อโรเบิร์ต คุณจะเรียกผมสั้นๆ ว่าร็อบก็ได้ ผมเคยทำงานเป็นภารโรงที่โรงที่สถานราชการลับสุดยอดจนกระทั่งทุกอย่างผิดพลาดอย่างร้ายแรง
ถ้าคุณไม่รู้ว่าผมกำลังพูดถึงอะไรอยู่ คุณควรเริ่มอ่านที่นี่: https://cantsleep101.blogspot.com/2021/08/world-highest-paid-janitor3.html
ด้วยเสียงแสบแก้วหูของโลหะและใบมีดขูดพื้น สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมบิดสะบัดไปมา
ด้วยแสงนีออนสีแดงจากตาสัตว์ประหลาด ผมเห็นปีเตอร์ยืนจังก้าอยู่ตรงกลางทางเดิน ก่อนที่ตัวประหลาดจะทันได้ขยับ เขายกปืนขึ้นจ่อระยะเผาขนแล้วเหนี่ยวไก เสียงปืนในพื้นที่ปิดเล่นเอาหูแทบดับ
ตัวประหลาดผงะไปข้างหลัง และหนึ่งในตาเป็นร้อยของมันปิดไป มันตั้งท่าวิ่งเข้าหาอีกครั้งเหมือนแมลงแผลงฤทธิ์ คมมีดกวัดไกวในอากาศขณะมันเข้าใกล้เพื่อนผม
ปีเตอร์เหนี่ยวไกอีกสองนัด นัดแรกพลาด อีกนัดข่วนเฉียดขามันไปเจาะเข้าที่ผนังด้านหลัง
ทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าชนกัน ปีเตอร์ล้มลงไปกองกับพื้น คลานสี่ขาเร็วๆ อย่างทุลักทุเลพยายามหนีคมมีดที่เกือบตัดเขาออกเป็นสองท่อน
“ทางนี้!” ผมตะโกน พยายามเรียกความสนใจจากตัวประหลาด “มาเลยไอ้แมงสาป!”
แมลงยักษ์หันมาทางผม ตาเรืองแสงสีแดงส่อแววเกลียดชังจ้องเขม็งมาที่ผม มันกระโดด พยายามกดผมกับประตูที่ใช้เปิดไปยังคีเมร่า ผมเหวี่ยงตัวไปด้านข้างและมันโผล่ผงาดพยายามขึ้นคร่อมผม
ผมลุกยืนอย่างทุลักทุเล แต่มันเร็วเกินไป ก่อนจะหนีทันมันก็ขึ้นคร่อมผมแล้ว ใบมีดที่ปลายขาของมันทั้งกรีดทั้งเฉือนไม่หยุด ผมร้องลั่นเมื่อมีดเสียบเข้าที่หน้าขา หูได้ยินเสียงปีเตอร์ตะโกน และเสียงปืนยิงต่อเนื่องจนหมดแม็ก
แมลงยักษ์คว้าผมแล้วยกขึ้นจากพื้น ผมดิ้นพลาดๆ ห้อยอยู่ตรงหน้ากลุ่มตาเรืองแสงสีแดงน่าสะอิดสะเอียนของมัน ผมเริ่มหน้ามืด
อยู่ๆ ใครบางคนเหนี่ยงไกไม่ยั้งทางด้านข้าง มันปล่อยผมตกลงบนพื้น หันไปเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้คนใหม่
ร่างสูงกำลังวิ่งเต็มสปีดมาทางเราขณะยิงไรเฟิลไม่หยุด ผมเห็นหน้าซีดข้างใต้ผมดำสนิท คอนราด
แมลงยักษ์วิ่งออกห่างจากเราแล้วกระโดดใส่คอนราด ทั้งคู่ชนกันอย่างแรงแล้วตกลงกับพื้น มันยกร่างคอนราดลอยขึ้นจากพื้นขณะเขาเหนี่ยวไกส่งลูกกระสุนเข้าลูกตามันเต็มๆ
“ปีเตอร์! ผมตะโกน “ประตู! เปิดประตู!”
ปีเตอร์วิ่งมาที่แผงควบคุม ผมพยายามลุกตามไปด้วยแต่ต้องล้มลงกองกับพื้นเพราะเจ็บแผลบนต้นขา ผมพยุงตัวกับผนังแล้วดันตัวขึ้น เดินไปทางปีเตอร์อย่างทุลักทุเล
ผมยังได้ยินเสียงปืนและเสียงโลหะขูดพื้นทางด้านหลัง คอนราดกับแมลงยักษ์สู้กันอยู่ห่างออกไปในทางเดินมืด
“เร็วหน่อยปีเตอร์!”
ประตูกันระเบิดขนาดใหญ่ที่นำไปสู่คีเมร่าค่อยๆ ขยับเปิดช้าๆ เผยให้เห็นทางเดินกว้างที่นำไปสู่ความมืดมิดข้างหน้า เราวิ่งผ่านประตูเข้าไป ปีเตอร์ประคองผม
“ปิดประตูก่อนพวกนั้นจะตามเข้ามา!” ผมตะโกน ปีเตอร์วิ่งไปที่แผงควบคุมข้างประตูด้านในแล้วกดปิด ประตูขนาดมหึมาเริ่มลากปิดพร้อมเสียงเหล็กขูดพื้นด้านล่างจนปิดสนิทในที่สุด
พวกเราทรุดลงกองกับพื้น หอบหายใจ สองสามนาทีต่อมา ผมได้ยินปีเตอร์ลุกขึ้นนั่ง
“คุณบาดเจ็บที่ไหน?” เขาถาม
“ถูกแทงที่ขา” ผมตอบพลางกัดฟันกรอด
“นายทหารข้างนอกนั่นเป็นใครกัน?” ปีเตอร์ขมวดคิ้วมองที่แผลบนต้นขาของผม
“เขาชื่อคอนราด รัฐส่งเขามาทำลายคีเมร่าและใครที่รู้เกี่ยวกับโปรเจคลับนี้”
“เฮอะ.. งั้นก็ปล่อยให้เขากับแมลงยักษ์จัดการกันเองแล้วกัน” ปีเตอร์ย่นจมูก
“คุณกลับมาทำไม?” ผมถามในที่สุด “ไหนบอกว่าจะหาทางออกไปจากที่นี่ไง”
“ผมก็ไปนั่นล่ะ” ปีเตอร์ตอบ ผมได้ยินน้ำเสียงสำนึกผิดของเขา “คอนราดคงเปิดบางส่วนของอาคารเพื่อเข้ามาทำภารกิจ เพราะทางเข้าหลักเปิดอยู่ ผมไปถึงที่นั่นแล้ว ร็อบ.. แต่ผมเริ่มคิดว่าผมมักตัดสินใจผิด ตัดสินใจแบบเห็นแก่ตัว ผมใช้ทักษะที่มีเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ แม้มันจะทำให้คนอื่นต้องตกที่นั่งลำบาก พอโดนจับได้ ผมก็ใช้คนอื่นเพื่อช่วยให้ไม่ต้องติดคุก” เขาพูดเบาๆ ตาหลุบต่ำ “คราวนี้ผมตัดสินใจว่ามันถึงเวลาแล้วที่ผมจะใช้ความรู้ที่มีเพื่อประโยชน์กับคนอื่นบ้าง”
เขาเงียบไป ผมคลานเข้าไปใกล้เขาอีกนิดแล้ววางมือบนไหล่ของเขา
“คุณเป็นคนดี ปีเตอร์ ผมดีใจที่คุณอยู่ที่นี่”
เขาหัวเราะเบาๆ “เราต้องรีบกันแล้ว” ปีเตอร์พูดก่อนลุกขึ้นยืนแล้วหันมาช่วยพยุงผมลุกขึ้น ขาผมร้อนผ่าว ผมต้องพิงเขาเพื่อหาสมดุล พวกเราออกเดินผ่านความมืด ทางเดินเป็นเส้นตรงไปข้างหน้า มีแสงไฟฉุกเฉินส่องสว่างเป็นช่วงๆ ไม่นานนักพวกเราเดินมาถึงประตูกันระเบิดอีกบานหนึ่ง คราวนี้มีแค่สวิตช์เปิดปิดแทนที่แผงควบคุม
เราหยุดอยู่ตรงนั้น หวาดกลัวสิ่งที่อยู่เบื้องหลังประตูบานมหึมาบานนี้แต่ก็รู้ว่าตอนนี้สายเกินกว่าจะหันหลังกลับ หลังจากตั้งสติอยู่สองสามวินาที ปีเตอร์หันมาหาผม
“พร้อมหรือเปล่า?”
“ไม่” ผมตอบเสียงเหนื่อยอ่อน ไม่อาจละสายตาจากประตูบานนั้นได้
เขายิ้ม “ผมก็เหมือนกัน ได้เวลาเข้าไปดูแล้วว่ามีอะไรข้างในนั่นที่สำคัญนักหนา”
เขากดสวิตช์เปิด ประตูบานโตส่งเสียงครางก่อนเลื่อนเปิดช้าๆ ผมตาเบิกโพลงเมื่อเห็นสิ่งที่รออยู่ข้างใน
พวกเรายืนอยู่ตรงทางเข้าห้องขนาดใหญ่สูงหลายชั้นและกว้างหลายสิบเมตร ผนังสีเทาประดับด้วยสายเคเบิล ท่อ และโซ่ระโยงระยางทั่วพื้นที่ มีสัญลักษณ์อันตรายติดอยู่เต็มไปหมด ตามผนังและเพดานของห้องมีรางยาวคล้ายแขนเป็นปล้อง
มันเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติลงไปที่ก้อนเหล็กที่วางอยู่ข้างใต้ มีเครื่องจักรขนาดใหญ่อยู่ที่ศูนย์กลางของห้อง
จอคอมพิวเตอร์แสดงผลหลายสิบจอส่องสว่างกระพริบเปิดปิดด้วยแสงหลากสี สายไฟและเส้นลวดพันเป็นเกลียวยาวจากโครงสร้างตรงกลางทอดยาวไปทั่วห้อง มันเชื่อมต่อกับโหลแก้วขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่รอบห้อง
ผมเดินเข้าใกล้หนึ่งในโหลแก้วพวกนั้น และต้องอ้าปากค้างเพราะภาพของสิ่งที่อยู่ข้างใน
ก้อนเนื้อมนุษย์ดิบสีออกแดงซีดแช่อยู่ในน้ำยา สมองสีเทาเหี่ยวๆ เชื่อมต่อกับส่วนที่เหลือของกระดูกสันหลังและกลุ่มอวัยวะที่บวมเป่งจำนวนมากที่ยังคงทำงานอยู่ด้วยเครื่องจักรน่าหวาดกลัวตรงหน้า
ปีเตอร์สบถซ้ำๆ อยู่ข้างหลังผม “ให้ตายสิ ไอ้นี่คือคีเมร่าสินะ”
ขณะท้องไส้ผมขมวดเป็นบม ผมหันไปหาเขา “เอาไงต่อดี?”
“หมอซามูเอลส์บอกว่ามีไดร์ฟกันความล้มเหลวอยู่ที่นี่ เราแค่ต้องหามันให้พบแล้วต่อมันเข้ากับคีเมร่า เขาพูดพลางแหงนมองกลุ่มก้อนคอมพิวเตอร์มหึมา
เราเข้าใกล้ศูนย์กลางของคอมพิวเตอร์อย่างระมัดระวัง ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์มีข้อมูลเลื่อนขึ้นเร็วๆ อย่างต่อเนื่องไม่หยุด พอเข้าไปใกล้อีกนิด ผมสังเกตเห็นช่องเล็กระหว่างกลุ่มเครื่องจักรที่นำเข้าด้านในเหมือนทางเดินผ่านป่าเหล็กที่มีใบไม้เป็นสายเคเบิลและท่ออยู่เหนือหัว
“บางทีมันอาจนำเราไปที่ไหนสักแห่ง” ผมว่า
เราก้มต่ำเพื่อลอดใต้หลังคาเต็มไปด้วยสายไฟ พวกเราผ่านเข้าไปในทางเดิน รอบตัวมีเสียงครางของเครื่องจักรเต็มไปหมด ทางเดินแคบทำให้เราต้องเขยิบไปข้างหน้าทีละคน ปีเตอร์อยู่ข้างหน้าผม
ปีเตอร์หยุดกระทันหัน ทำเอาผมชนเขาเข้าที่ด้านหลังทำเอาเจ็บแปลบที่ขา
“ไม่นะ.. บ้าเอ้ย.. ไม่นะ” ปีเตอร์กระซิบ
ผมมองข้ามไหล่เขาไปและเกือบอ้วกออกมาเพราะสิ่งที่เห็น
ข้างหน้าเรา กลางพื้นที่ว่างเล็กๆ มีชายสวมชุดแล็บขาดรุ่ยคนหนึ่งถูกตรึงไว้ด้วยแขนสายไฟหลายร้อยเส้นของคีเมร่า ตัวถูกพันแน่นด้วยลวด ที่แขนมีเลือดออกไม่หยุดและขาไม่ขยับเขยื้อน โลหะแหลมตรึงส่วนหัวของเขาไว้และปากเขาอ้ากว้าง
เขายังหายใจอยู่ พวกเรารีบวิ่งไปหา
“อย่า… เข้ามา!” เขาตะโกนด้วยเรี่ยวแรงน้อยนิดที่มี
เราหยุดกึกอยู่กับที่
“คุณเป็นใคร? นี่มันอะไรกัน?”
ชายในชุดแล็บหันมามองผมด้วยตาแดงก่ำ
“คีเมร่า… ผมสร้างมันขึ้นมา มันเป็นลูกผม เป็นความล้มเหลวของผม และเพราะเหตุผลนั้น มันโทษผม”
“คุณทำอะไรลงไป?” ปีเตอร์ถาม
“นักโทษ…” เขาตอบเสียงสั่น “คนคุกที่ต้องโทษประหาร แทนที่จะถูกประหาร พวกเราใช้คนพวกนั้น ใช้ร่างกายของพวกเขาเพื่อสร้างสิ่งนี้”
“เพื่ออะไรกัน?” ผมถาม รู้สึกสะอิดสะเอียน
“พลังของสมองมนุษย์ ผสานเข้ากับเครื่องจักร… มันมีความเป็นไปได้ไร้ที่สิ้นสุด” ชายในชุดแล็บกล่าวตาลอย “แต่คีเมร่าจำได้ มันจำได้ไม่มาก แต่ก็มากพอ มันจำได้ว่าเคยมีชีวิตจิตใจมาก่อน และจำได้ว่าอะไรถูกพรากไปจากมัน มัน… มันเคียดแค้น และมันโทษพวกเรา มันโทษผม และมันจะแก้แค้น”
ปีเตอร์เข้าไปใกล้อีกก้าว “บอกพวกเราว่าจะหยุดมันได้ยังไง”
“ไดร์ฟกันล้มเหลว… มันอยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุมผม เสียบมันเข้ากับแผงควบคุมหลัก มันจะฆ่าคีเมร่า แต่เร็วเข้านะ พอคุณแตะต้องผม มันจะรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่
“แล้วคุณล่ะ เราจะทิ้งคุณไม่--” ผมเริ่มพูด
ชายในชุดแล็บไอแปลกๆ และผมนึกอยู่นานถึงคิดได้ว่าเขาพยายามหัวเราะ
“มันสายไปแล้วสำหรับผม” ตาแดงก่ำมองผม
ปีเตอร์สูดหายใจลึก เขาหลับตาอยู่สองสามวินาทีเพื่อตั้งสติ จากนั้นเคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็ว ยื่นมือไปหยิบไดร์ฟจากกระเป๋าเสื้อคลุมแล้วถอยกลับ
วินาทีที่เขาสัมผัสร่างชายในชุดแล็บ ทั้งห้องก็คำรามด้วยเสียงดังสนั่น เสียงไซเรนดังขึ้น แสงไฟจากจอคอมพิวเตอร์หลายร้อยเครื่องทำเอาตาผมพร่าไปหมด เหนือเรา แขนสายไฟเป็นร้อยของคิเมร่าถูกเปิดใช้งาน มันพุ่งลงมาหมายจะทำร้ายปีเตอร์กับผม
แขนที่จับชายในชุดแล็บเอาไว้เกร็ง บิดงอ และฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าต่อตา
พวกเราวิ่งผ่านทางเดินเต็มไปด้วยสายไฟยุ่งเหยิงและพุ่งออกไปที่พื้นโล่ง
++มนุษย์++ มันกรีดร้อง เสียงคล้ายหุ่นยนต์หลายร้อยเสียงผสานรวมกัน ++เครื่องจักรมีชีวิต แกตาย คีเมร่า!++
เราวิ่งอ้อมเครื่องจักรมโหฬาร มองหาแผงควบคุมอย่างสิ้นหวัง กรงเล็บเหล็กขนาดมหึมาพุ่งลงมาที่ผมพยายามคว้าจับ ผมเลี่ยงไปด้านข้าง กรงเล็บกระแทกจอคอมพิวเตอร์แตกเป็นเสี่ยงอยู่ข้างๆ
"ทางนี้!" ปีเตอร์ตะโกนจากด้านหน้า มีหอแผงควบคุมขนาดใหญ่สูงตระหง่านอยู่ตรงหน้าเขา ที่ด้านล่างมีสวิตช์ขนาดใหญ่เพียงหนึ่งเดียวพร้อมป้าย สวิตช์ฆ่า
ปีเตอร์โผเข้าหาแผงควบคุมโดยมีไดร์ฟกันล้มแหลวในมือ แต่แขนยาวเหวี่ยงเขากระแทกพื้นจากนั้นยกเขาลอยเหนือพื้นห้อยกลับหัวต่องแต่งอยู่กลางอากาศ
“ร็อบ!” เขาตะโกนแล้วโยนแฟลชไดร์ฟ ผมโผเข้าไปคว้ามันไว้ด้วยมือเปียกเหงื่อ ผมแหงนมองปีเตอร์ที่ตอนนี้ถูกหลายมือคว้าจับที่แขน, ขา, และลำตัว ภาพชายในชุดแล็บถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แว่บเข้ามาในสมอง
ผมตะเกียกระกายไปข้างหน้า ไปทรุดลงหน้าแผงควบคุม มือคลำหาจุดเชื่อมต่อแฟลชไดร์ฟอย่างงุ่มงาม
ที่ไหน… มันอยู่ที่ไหน?
เจอแล้ว!
นิ้วผมสัมผัสเข้ากับรอยบุ๋มเล็กๆ แทบมองไม่เห็นบนแผงควบคุม
“ร็อบ!” เสียงปีเตอร์ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดดีงมาจากด้านบน
ผมเสียบไดร์ฟเข้าที่
ความโกลาหลเกิดขึ้น โหลแก้วใส่สมองและชิ้นส่วนมนุษย์แตกทีละโหลส่งชิ้นส่วนกระจัดกระจายทั่วพื้น จอคอมพิวเตอร์หลายร้อยจอดับวูบ และเสียงกรีดร้องของหุ่นยนต์ดังสนั่นไปทั่วอาคาร ทำให้ผมคุกเข่าและเอามือกุมหัวกันแรงสั่นสะเทือน
ด้านบน แขนของคีเมร่าบิดตวัดและหยุดเคลื่อนไหวในที่สุด
ปีเตอร์ตกกระแทกพื้นพร้อมเสียง แคร็ก น่ากลัว เขาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด มือกุมขาข้างที่หัก
มีเสียงระเบิดตูมใหญ่และจอคอมพิวเตอร์ที่เหลือทั้งหมดถูกทำลาย ในที่สุดทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ผมคลานไปหาปีเตอร์ “ปีเตอร์! ปีเตอร์!”
“เรา… ทำสำเร็จหรือเปล่า?” ปีเตอร์ถามงงๆ
“มันจบแล้ว” ผมตอบ
“ยังก่อน!” เสียงกร้าวดังมาจากข้างหลัง ผมหันกลับไปมอง
ใบหน้าซีดและผมดำสนิท
เสื้อกั๊กกันกระสุนของเขาถูกฉีกขาดวิ่น รอยเปื้อนเปียกสีเข้มกระจายบนหน้าอก และมือข้างหนึ่งของเขางอติดอยู่กับลำตัว มีเศษใบมีดขนาดใหญ่ฝังอยู่ในนั้น ส่วนอีกมือถือปืนเล็งมาที่ผม
ชั่ววินาทีนั้น เขาส่ายไปมา ผมเห็นความเจ็บปวดบนใบหน้าเย้ยหยันของเขา มือที่ถือปืนสั่นระริก
ผมถือโอกาสโผเข้าใส่
ก่อนเขาจะเหนี่ยวไก ผมกระโดดเข้าชนแล้วเราทั้งคู่ล้มลงด้วยกัน ปืนเขากระเด็นออกห่าง คอนราดพลิกตัวขึ้นคร่อมผมแล้วตะบันหมัดใส่หน้าผมไม่ยั้ง หนึ่ง สอง สาม ผมได้รสเลือดในปาก
ผมปล่อยหมัด พยายามจะผลักเขาออกจากตัว แต่ถึงจะเหนื่อยและบาดเจ็บเขาก็ยังเร็วและแข็งแกร่งเกินไป คอนราดเงื้อมืออีกครั้งกะจะต่อยผมตายคามือ
ทันใดนั้นเขาเซไปด้านข้าง ผมยังเจ็บและมึนงงแต่เห็นปีเตอร์คลานเข้ามาหาเราและเตะเขาที่หน้าเต็มแรง คอนราดร้องลั่นมือกุมจมูกที่เห็นได้ชัดว่าเบี้ยวไปทางขวา เขาคว้าคอของปีเตอร์แล้วเริ่มบีบ
ทันใดนั้นผมเห็นแสงสะท้อนจากอะไรบางอย่าง
ใบมีดที่ติดอยู่ที่แขนคอนราด
ผมคลานเข้าหา ขาแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง ปีเตอร์ตาเหลือกปากอ้าค้างเพราะขาดอากาศหายใจ คอนราดตอนนี้กำลังหัวเราะเหมือนคนเสียสติ
ผมเอื้อมมือไปดึงใบมีดแล้วเสียบมันเข้าที่ด้านหลังหัวของคอนราด
เขากระตุกแรงๆ สองสามครั้ง ตาเหลือกก่อนล้มพับลงกับพื้น
ผมทรุดลงข้างปีเตอร์ เหนื่อยแทบขาดใจและหมดสติไป
ผมฟื้นคืนสติหลังจากนั้นไม่นาน และค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง โดยมีปีเตอร์นอนหายใจแผ่วอยู่ข้างๆ
“โอเคหรือเปล่า?” ผมถาม
เขาเหลือบมองผมแล้วหัวเราะเสียงดัง ผมเองก็เริ่มหัวเราะไปกับเขาด้วยขณะคิดถึงทุกอย่างที่เพิ่งผ่านมาด้วยกัน
“โอเคสิ ไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อนเลย” เขาตอบในที่สุด พลางเอามือปาดน้ำตาจากการหัวเราะออกจากหน้า “ช่วยพยุงผมที ได้เวลาออกไปจากที่นี่กันแล้ว”
“ใช่เลย”
เราพากันยืนขึ้นช้าๆ ด้วยความเจ็บปวด ต่างพยุงกันและกันเอาไว้
หนทางข้างหน้าเราตอนนี้คือทางเดินสู่โปรเจคคาเมร่า และจากนั้นคือการปีนขึ้นข้างบนอีกหลายต่อหลายชั้น และหลังจากนั้น..คืออิสระภาพของพวกเรา
จบ
----------
สนับสนุนการแปล คลิก



0 ความคิดเห็น