ผมชื่อเจ้าหน้าที่แบรดลีย์ เกษียนเมื่อสิบปีที่แล้วตอนอายุห้าสิบพอดี เรื่องแรกที่ผมจะเล่านี้เกิดขึ้นในช่วงยี่สิบปีของการทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจของผมเอง
วันที่ 17 มกราคม 2008
เราได้รับแจ้งจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำ บอกว่าแฟนของเธอพยายามจะฆ่าเธอ เมสันคู่หูผมและตัวผมเองไปถึงที่บ้านที่ตั้งอยู่หลังสุดท้ายของถนน เสาไฟถนนกระพริบไฟสีส้มและลมพัดต้นไม้ไหวอยู่ใกล้ๆ คืนนั้นเมฆดำสนิทและอากาศเย็นยะเยือกเป็นน้ำแข็ง
พวกเรายืนประจำตำแหน่งที่หน้าประตูบ้าน จากนั้นเคาะแรงๆ
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ! เปิดประตู!”
เมสันเตะประตูเปิดและพวกเราเข้าไปข้างในตัวบ้าน เราสแกนทั่วบ้านชั้นล่าง
ไม่เห็นใคร…
“ได้ยินเสียงนั่นหรือเปล่า?” ผมพูด
เมสันมองไปทางบันไดทางขึ้นชั้นสอง
เสียงผู้หญิงร้องไห้เบาๆ เสียงเบาเอามากๆ ราวกับว่ามันดังมาจากหลังประตูห้องใดห้องหนึ่งข้างบน
“นึกว่าเธออยู่ชั้นล่างเสียอีก” เมสันพูดเบาๆ ขณะพวกเราเดินขึ้นชั้นบน
“ไม่เป็นไรนะครับ” ผมเริ่มพูด “คุณปลอดภัยแล้ว ไม่มีใครจะทำร้ายคุณ”
เสียงร้องไห้หยุดกะทันหันราวกับมีใครกดปุ่มหยุด จากนั้นเริ่มดังอีกครั้ง
“แต่เขายังอยู่ที่นี่” เสียงผู้หญิงตอบกลับมาจากข้างในห้องนอน
“ผมกับคู่หูเช็กทั้งบ้านแล้ว ไม่มีใครที่นี่ครับคุณผู้หญิง คุณปลอดภัย” ผมพูด
ตอนนั้นเองประตูบ้านชั้นล่างกระแทกปิดดังปัง! ผมและคู่หูมองหน้ากันเงียบๆ และผมมองเห็นเม็ดเหงื่อที่หางคิ้วเมสัน ถึงแม้คืนนี้จะอากาศหนาวเอาเรื่องอยู่ ผมสะบัดหัวไปข้างๆ เป็นสัญญาณให้เขาไปเช็กความเรียบร้อย เขาเดินไปที่ทางลงบันไดแล้วมองลงไปที่ประตูหน้าชั้นล่าง
“คงแค่ลมละมั้ง” เขาพูด
จากนั้นเสียงนุ่มละมุนดังมาจากห้องน้ำ “แน่ใจเหรอคะคุณตำรวจแบรดลีย์?”
ผมกับเมสันมองหน้ากัน ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ผมกับคู่หูไม่ได้เรียกชื่อกันออกมาดังๆ สักครั้งเลย
“คุณครับ คุณยังต้องการความช่วยเหลืออยู่หรือเปล่า” เมสันถามเชิงรำคาญ “เราต้องดูให้แน่ใจว่าคุณโอเค ดังนั้นถอยออกห่างจากประตูนะครับ ผมจะพังประตูเข้าไป”
ผมว่ามาถึงจุดนี้เมสันคงอยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้ให้แน่ใจว่าเรากำลังรับมือกับอะไรอยู่มากกว่าจะอยากรู้ว่าเธอปลอดภัยหรือเปล่า
"เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อนๆ” ผมพูด “เธออาจจะนั่งอยู่หลังประตู เราไม่อยากให้เธอต้องเจ็บตัวนะเพื่อน”
จากนั้นเธอพูดขึ้นอีกครั้ง “คุณตำรวจแบรดลีย์ บอกเมสันด้วยนะว่าถ้าเขาแตะต้องประตูบานนี้ ฉันจะไปเยี่ยมครอบครัวของเขาที่บ้านกลางดึก” เสียงผู้หญิงคราวนี้แหบต่ำทำเอาผมขนลุกซู่
ผมไม่เคยเข้าใจคำพูดที่ว่า “หน้าขาวเป็นกระดาษ” จนกระทั่งตอนนี้ที่ผมเห็นหน้าคู่หูผมตอนได้ยินเสียงน่าขนลุกนั่น
คราวนี้ผมห้ามไม่ทันและเขาเตะประตูเปิด แต่พอประตูเปิดออก ปรากฎว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน ทั้งที่ไม่มีหน้าต่างหรืออะไรในห้องน้ำที่จะพอเป็นทางหนีออกไปได้ พวกเราแน่ใจว่าเมื่อกี้ได้คุยกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย
พวกเราสแกนทั้งบ้านรวมถึงสนามหน้าบ้านและหลังบ้านอีกเป็นครั้งสุดท้าย และไม่พบอะไรเลย
ผมและคู่หูสื่อสารกันเงียบๆ โดยไม่ใช้คำพูด พอถึงเวลากลับ เราแค่มองหน้ากันแล้วเดินออกจากบ้านหลังนั้นโดยไม่หันกลับไปมองอีก
ทีนี้ นี่เป็นตอนที่ผมไม่เคยบอกใครทั้งสิ้นแม้แต่เมสันคู่หูผม..
ตอนพวกเราเดินจากบ้านหลังนั้นผม ผมอาสาเป็นคนขับไปที่สถานีตำรวจ เมสันอาจจะคิดว่าผมไม่ทันได้สังเกต แต่มือของเขาสั่นเทารุนแรงจนผมคิดว่าคงไม่ปลอดภัยถ้าจะให้เขาเป็นคนขับกลับ
และขณะผมถอยรถกลับขึ้นถนน เมสันไม่ได้มองกลับไปที่บ้านหลังนั้น
แต่ผมมอง…
และผมหวังจริงๆ ว่าผมไม่ได้ทำแบบนั้น…
ผมหรี่ตามองในความมืดไปทางถังขยะในรั้วหน้าบ้านหลังนั้นและเห็นเงาดำนั่งยองๆ อยู่ที่รั้ว ราวกับว่าอะไรบางอย่างกำลังมองเราขับจากมา และตอนเราขับห่างออกมาเรื่อยๆ และบ้านหลังนั้นเล็กลงทุกที ร่างดำทะมึนนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืน และผมสาบานได้จนถึงวันนี้ว่าตอนมันลุกยืน หัวของมันสูงกว่าหลังคาบ้านสองชั้นนั่นเสียอีก…
จบบริบูรณ์
--------------------------------------------



0 ความคิดเห็น