คำเตือน: ตอนนี้มีการพูดถึงเด็กทารกเสียชีวิต
ฉันกำลังเดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่ข้างถนนเมื่อสังเกตเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ประตูรถด้านคนขับ กำลังจ้องไปที่กระจกข้าง “นี่คุณ!” ฉันตะโกน “มีอะไรหรือเปล่า?”
เขาไม่ได้หันมามองฉันด้วยซ้ำขณะพูด “นี่รถคุณเหรอ?”
“ใช่..”
“เยี่ยมเลย!” เขาพูด ตายังมองที่รถฉันไม่เลิกพลางยื่นขวดโหลแก้วขนาดค่อนข้างใหญ่มาทางฉัน “ช่วยถือโหลนี่ให้หน่อยได้หรือเปล่า” เขาถาม และผลักมันใส่มือฉันโดยไม่รอคำตอบ
เขาทำมือเป็นสัญญาณให้ฉันเข้าไปใกล้ ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนก้าวไปข้างหน้า มือกอดขวดโหลแนบอกแน่น ในตอนนั้น ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่อยากให้เขาทำอะไรที่กำลังพยายามทำอยู่ตอนนี้ให้เสร็จไวๆ ฉันจะได้ขับไปบ้านอีไลจาห์เร็วๆ
ในที่สุดฉันมองไปที่รถและเห็นสิ่งที่เขาสนอกสนใจนักหนา แมงมุม มันเป็นแมลงมุมขนาดใหญ่สีน้ำตาลซึ่งทอใยสลับซับซ้อนระหว่างกระจกกับหน้าต่างรถ ฉันไม่ใช่คนกลัวแมลง แต่แมงมุมตัวนี้ใหญ่มโหฬารผิดธรรมชาติ และฉันตอนนี้ฉันยืนอยู่ใกล้มันมากเกินไป ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจว่าจะวิ่งหนึดีหรือเปล่า ชายคนนั้นหยิบแมงมุมตัวนั้นขึ้น ใส่เข้าไปในโหลในมือฉันอย่างรวดเร็วและปิดฝาตาม
“ได้แล้ว!” เขาพูดเสียงดัง
ถึงแมงมุมจะอยู่ในขวดโหลแล้วตอนนี้ แต่การถือมันในมือทำฉันรู้สึกไม่ค่อยดี ฉันรีบยื่นมันกลับไปให้เขาและเขาหันมามองหน้าฉันในที่สุด ดูเหมือนเขาจะอายุประมาณยี่สิบกลางๆ ผมสีเข้ม มีเคราขึ้นรางๆ และใส่แว่น เขายิ้มกริ่มอย่างภาคภูมิใจ ดูดีใจสุดๆ ที่ได้เป็นเจ้าของแมลงมุมตัวนั้น
“แมลงมุมยักษ์เหรอ” ฉันถามพลางชี้ไปที่โหลแก้ว
“ไม่ใช่หรอก นี่ชื่อแมงมุมใยทองท้องขนาน หนึ่งในแมงมุมที่พบบ่อยที่สุดแถวนี้ แต่เจ้าตัวนี้ขนาดใหญ่ผิดปกติ” เขายกขวดโหลขึ้นเพื่อชื่นชม “อาจจะมีพิษมากกว่าตัวอื่นๆ ในสปีชี่เดียวกัน ว่ามั้ยว่าดูเหมือนช่วงนี้สัตว์ต่างๆ แถวนี้โตผิดปกติ”
ฉันนึกถึงเรื่องปลาขนาดใหญ่ที่อีไลจาห์เพิ่งเล่าให้ฟังเมื่อกี้ขึ้นมาทันที “ไม่รู้สิ ฉันเองเพิ่งมาถึงที่นี่เมื่อวานนี้เอง” ฉันพูด
“โอ้ คุณก็ด้วยเหรอ” เขาถามอย่างตื่นเต้น “ผมเองก็จากที่นี่ไปนานเพื่อไปเรียนชีววิทยา เพิ่งกลับมาเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนนี่เอง”
“กลับมาทำไมกัน” ฉันถาม
เขาเลิกคิ้วด้วยความงุนงง “เพราะผมเกิดที่นี่ไง” เขาตอบราวกับว่าฉันเพิ่งถามคำถามโง่ๆ ออกไป
“เอาเถอะ..” ฉันถอนใจ “ขอบคุณที่ช่วยจัดการกับแมงมุมให้นะ”
“ไม่หรอก ผมเองต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณที่ช่วยจับมัน” เขายิ้มสดใส “คุณสนใจจะทำงานกับผมมั้ย ผมกำลังต้องการผู้ช่วยอยู่พอดีเลย”
ฉันใช้เวลาจ้องมองชายที่ดูมีความสุขและแมลงมุมในมือ ในใจคิดพิจารณาข้อเสนอ ฉันไม่ได้ทำงานมาพักใหญ่ๆ แล้วและเงินเก็บก็ใกล้หมดเต็มที ถึงอีไลจาห์จะไม่เก็บค่าเช่า แต่ฉันก็ยังอยากจะช่วยค่าใช้จ่ายเขาบ้างเพื่อตอบแทนที่เขาให้ฉันพักด้วย ที่จริงตอนนี้ฉันต้องการเงิน แต่ฉันจำเป็นต้องรับมือกับแมลงมุมเพื่อหาเลี้ยงชีพเหรอเนี่ย?
“ขอคิดดูก่อนนะ” ฉันบอกเขาในที่สุด
“เยี่ยมเลย!” เขาล้วงนามบัตรใบเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกง “โทรหาผมนะ”
ฉันก้มลงมองนามบัตร พยายามอ่านชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ในแสงไฟถนนสลัว “โจเซป มิลตัน” ฉันพูดเบาๆ
“ใช่แล้ว”
“โรสซาลี เรียกฉันว่าโรสก็ได้” ฉันแนะนำตัวเอง
“ดีใจที่ได้รู้จักนะ” เขากอดขวดโหลแน่นขึ้นอีกนิด “ผมต้องไปก่อนแล้วละ ต้องพาเจ้าบึ้มนี่กลับบ้าน ผมจะรอโทรศัพท์จากคุณนะโรสซาลี”
“ตกลง ราตรีสวัสดิ์”
เขาเดินจากไปและฉันยัดนามบัตรใส่กระเป๋ากางเกง เอามือปัดเศษใยแมงมุมออกจากข้างรถแล้วขึ้นนั่ง อะพาร์ตเม้นต์ของอีไลจาห์อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ตอนไปถึง อีไลจาห์ยืนรออยู่แล้วและช่วยฉันยกกระเป๋าและข้าวของต่างๆ เข้าไปข้างใน อะพาร์ตเม้นไม่ใหญ่นัก มีแค่ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องน้ำเล็กๆ และอีกหนึ่งห้องนอน แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเรา ฉันพอใจ ตราบเท่าที่ไม่ต้องนอนในรถอีกต่อไป
ด้วยความที่เหนื่อยมามาก ฉันล้มตัวลงนอนบนโซฟาแล้วผล็อยหลับแทบจะในทันที คืนนั้น ฉันฝันว่าสะดุดแล้วตกบันได ได้ยินเสียงคอตัวเองหักดังแกร็ก และมันยังคงดังก้องในหัวหลังจากตื่นนอนด้วยหัวใจเต้นแรงพร้อมอาการปวดหัวที่คุ้นเคย
หลังจากนั้น ฉันพยายามนอนต่อและได้นอนพักสองสามชั่วโมงโดยไม่มีฝันร้าย เป็นครั้งแรกในช่วงหลายอาทิตย์ ที่รู้สึกเหมือนได้พักผ่อนพอเพียงจนถึงเช้า มันเป็นคืนที่สงบสุขเอามากๆ เลยทีเดียว
ทั้งอะพาร์ตเม้นต์ยังคงมืดในช่วงเช้าตรู่ ฉันตื่นมาพบอีไลจาห์ยืนอยู่ในครัว “หวัดดี” ฉันทัก “นอนเป็นยังไงบ้าง?”
เขาหันมาหาและฉันเห็นรอยดำใต้ตาเขา “อย่าให้พูดเลย” เขาพูดและยิ้มเหนื่อยๆ “แล้วเธอล่ะ?”
“ค่อนข้างดีเลยล่ะ”
“ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น” เขาชี้ไปที่เคาน์เตอร์ในครัว “ขนมปังปิ้งนะ”
“ได้ แต่นายนั่งนะ เดี๋ยวฉันทำให้กินเอง”
ฉันทำอาหารเช้าให้เราทั้งคู่ เพื่อนฉันนั่งเอามือเท้าคางตามองออกไปนอกหน้าต่างที่โต๊ะตัวเล็กๆ ในครัว รอยแผลเป็นถูกแสงเงาบดบัง ฉันสงสารเขา และสงสารตัวเอง และสงสารทุกคนที่ต้องมาติดอยู่ที่เมืองต้องคำสาปแห่งนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
เช้านี้พวกเราไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก ท้องฟ้าข้างนอกเต็มไปด้วยเมฆครึ้มอีกครั้ง พวกเรานั่งกันเงียบๆ ในแสงสลัวของห้องครัว ทุกหัวข้อสนทนาที่คิดขึ้นมาได้ดูจะหดหู่เกินกว่าจะพูดออกมาดังๆ เราไม่อยากพูดถึงฝันร้าย ไม่อยากพูดถึงคืนแห่งโศกนาฏกรรมของครอบครัวไนท์ ไม่อยากพูดถึงความบ้าคลั่งของเอคโค่วัลลีย์ และไม่อยากพูดถึงเวลาห้าปีที่เราใช้ชีวิตแยกจากกัน มันเป็นความเงียบที่ไร้ซึ่งความประหม่าหรือเขินอาย พวกเราแค่นั่งอยู่ตรงนั้นและคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้สึกว่ามีความจำเป็นจะต้องพูดมันออกมา
หลังจากนั้นไม่นานอีไลจาห์ออกไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่ ฉันนั่งบนโซฟาและคิดถึงตัวเลือกของสิ่งที่จะต้องทำต่อไป ฉันอาจจะตรงไปที่ห้องสมุดเหมือนอย่างที่ตั้งใจไว้เมื่อวาน หรือไปหางานทำเพื่อจะได้มีเงินไว้ใช้จ่าย หลังจากนั่งคิดอยู่นาน ฉันตัดสินใจเลือกตัวเลือกที่สาม
ฉันจะไปเยี่ยมพ่อกับแม่…
การขึ้นรถและขับไปที่บ้านพ่อกับแม่ไม่ใช่ปัญหา แต่พอไปถึงและจอดรถที่หน้าบ้าน ฉันดันเกิดเครียดขึ้นมา ต้องนั่งในรถสักพักเพื่อทำใจก่อนลงจากรถแล้วเดินไปที่หน้าประตู
ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพ่อและแม่มักจะยากเย็นเสมอ พวกเขาไม่เห็นด้วยกับแทบจะทุกอย่างที่ฉันทำ และถึงแม้ฉันจะเข้าใจเหตุผลของพวกเขาสำหรับบางเรื่อง เช่นการที่พวกเขาไม่เห็นด้วยที่ฉันหันไปคบกับทันย่า เพราะมันทำฉันหนีเที่ยวและเกรดตก แต่ฉันไม่เข้าใจเหตุผลของพวกเขาในเรื่องอื่นๆ พวกเขาไม่เห็นด้วยที่ฉันอยากเป็นนักเขียนข่าว และไม่ชอบใจที่ฉันเป็นเพื่อนกับอีไลจาห์ ไนท์
แต่นั่นมันเมื่อห้าปีที่แล้ว ตอนนี้ฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลมาอธิบายการกระทำใดๆ ของฉันอีกต่อไป
ฉันเคาะประตู…
แม่เป็นคนมาเปิดประตู และตาโตด้วยความประหลาดใจที่ได้เห็นฉันเป็นครั้งแรกในรอบห้าปี “โรส!”
“หวัดดีค่ะแม่”
แม่กอดฉันแน่น ปากตะโกนเรียกให้พ่อมาดู และพ่อก็ดูดีใจมากที่ได้พบฉันอีก กอดฉันเหมือนอย่างที่แม่กอด พวกเขาพาฉันเข้าไปข้างใน และในเวลานั้น ฉันคิดเอาว่าการได้พบกันอีกครั้งของพวกเรามันดีกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก
แต่ความหวังเล็กๆ นั่นเป็นอันต้องจบลงในที่สุดเมื่อแม่สั่งให้พ่อชงกาแฟให้พวกเรา จากนั้นดึงฉันไปทางห้องนอนเก่าของฉันเอง “มาเถอะโรส มาเจอน้องหน่อย” แม่พูดอย่างตื่นเต้น “น้องต้องดีใจแน่ๆ ที่ลูกกลับมา!”
ฉันรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมากะทันหัน เหมือนกันกับที่รู้สึกเมื่อวานตอนได้พบหลุมฝังศพของทันย่า “พูดเรื่องอะไรน่ะแม่?” ฉันถาม ได้ยินเสียงตัวเองสั่นระริก “หนูไม่มีน้องสักหน่อย”
แม่มองฉันราวกับว่าฉันเสียสติไปแล้ว ดูเหมือนช็อกกับสิ่งที่ฉันพูดอยู่เสี้ยววินาที จากนั้นฝืนยิ้ม “ไม่ตลกนะโรส” เสียงแม่ห้วนอย่างไม่พอใจ “มาเถอะ ไปทักทายน้องหน่อย ทำแค่นี้ไม่ตายหรอกน่า”
ฉันไม่แน่ใจนักว่าแม่พูดถูก หลังจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทุกอย่างที่เคยได้ยินมา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในฝันร้าย ฉันได้พบซอมบี้และแทบหนีมันไม่พ้นถ้าไม่ใช่เพราะอีไลจาห์ช่วยเอาไว้ ใครจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่รอฉันอยู่หลังประตูห้องนอนเดิมของฉัน? ฉันกำหมัดแน่น เล็บจิกในอุ้งมือจนเจ็บ แต่แม่ดูไม่สนใจความเครียดของฉันเลยขณะเปิดประตูพร้อมยิ้มกว้าง
ห้องดูเหมือนได้รับการตกแต่งใหม่ให้เป็นห้องเด็กเล็ก ผนังทาสีชมพูพาสเทล ของเล่นเกลื่อนเต็มพื้นและมีเตียงเด็กที่ดูเผินๆ เหมือนกรงสัตว์ตั้งอยู่ ในสถานการณ์ปกติ ห้องนี้น่าจะให้ความรู้สึกสดใสและเต็มไปด้วยความสุข แต่ในแสงสลัวของวันฝนพรำไม่หยุด มีบางอย่างในห้องนี้ที่ทำให้รู้สึกน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ทั้งห้องเงียบสนิทและฉันแทบไม่กล้าหายใจขณะกลิ่นเหม็นแปลกๆ ลอยค้างในอากาศ
แม่เดินไปที่เตียงเด็กและอุ้มสิ่งที่อ้างว่าเป็นน้องของฉันขึ้นมา
“แม่..” ฉันกระซิบพลางก้าวถอยหลังอย่างระวังขณะแม่หันมาหา “นั่นมันอะไรน่ะ?”
แม่ถอนใจ “นี่เลิกทำตัวหยาบคายเหมือนเด็กมีปัญหาเสียทีได้หรือเปล่าโรส น้องเขาออกจะดีใจที่ได้เจอลูกนะ”
ฉันเกือบอ้วกออกมาตอนแม่ยกศพทารกเน่าเหี่ยวย่นขึ้นมาให้เชยชม
สองสามนาทีต่อมา ฉันนั่งที่โต๊ะในครัวกับพ่อแม่และศพเด็กทารกที่พวกเขาดื้อดึงเอาแต่จะเรียกว่าน้องสาวของฉัน ตรงหน้ามีถ้วยกาแฟที่ฉันไม่ได้แตะต้องสักนิด การได้เห็นแม่ยิ้มกับศพเด็กในอ้อมกอดที่ถูกห่อหุ้มด้วยเศษผ้าอย่างรักใคร่ทำเอาฉันรู้สึกมึนหัวจนไม่คิดว่าจะดื่มอะไรได้ในตอนนี้
ฉันไม่เคยคิดเลยแม้แต่เพียงเสี้ยววินาทีว่าความบ้าคลั่งของเมืองเอคโค่วัลลีย์จะมีผลกับพ่อและแม่ แค่คิดว่าพวกท่านจะไม่เป็นอะไร พวกเขาเป็นพ่อแม่ของฉันและจะไม่มีวันเป็นอะไร แต่ตอนนี้ ฉันนั่งอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรและกำลังจะร้องไห้ตอนแม่พยายามป้อนนมอุ่นในขวดให้ศพ
“ชีวิตในเมืองใหญ่เป็นยังไงบ้างล่ะ?” พ่อถาม
“ดีมากเลยล่ะ” ฉันฝืนยิ้มขณะหันมามองพ่อ “งานนั่นเป็นทุกอย่างที่หนูต้องการ หนูเขียนบทความที่ประสบความสำเร็จสองสามบทความ บางครั้งได้ขึ้นหน้าหนึ่งด้วย”
“ดีแล้วล่ะลูก” แม่พูดอย่างไม่ใส่ใจนัก “แล้วตอนนี้คบกับใครอยู่หรือเปล่า?”
ฉันเงียบ ที่จริงฉันเคยคบกับใครคนหนึ่งมาสักพัก แต่นั่นมันเมื่อสี่ปีที่แล้ว เรื่องของเรื่องคือ ฉันไม่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวเอาเลย พูดตามตรง ฉันไม่เคยเข้าใจเลยว่าคนเราจะคบเป็นคู่รักกันไปทำไม ตอนอายุสิบหก ฉันเคยนอนกับเด็กผู้ชายที่ทันย่าแนะนำให้รู้จักด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันไม่ได้แย่อะไร แต่ฉันไม่ได้อยากจะทำแบบนั้นซ้ำอีก เลยพอจะรู้ตัวว่าไม่ได้สนใจอยากจะมีแฟนผู้ชาย
จากนั้น เมื่อสี่ปีก่อน ฉันได้พบกับเคย์ลี ผู้หญิงน่ารักคนหนึ่ง และพวกเราคบเป็นคู่รักกันอยู่สามเดือนจนกระทั่งในที่สุดฉันต้องยอมรับทั้งกับตัวเองและกับเธอว่าฉันไม่สนใจจะมีแฟนเป็นผู้หญิงด้วย หลังจากนั้น พวกเราก็คบกันเป็นเพื่อนมาตลอด ฉันยังไปร่วมงานแต่งงานของเธอมาด้วยซ้ำเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็ไม่เคยคบกับใครอีกและไม่เคยรู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไปจากชีวิตด้วย
“เปล่าเลยแม่” ฉันตอบอย่างรำคาญ
พ่อถอนใจ “พ่อกับแม่เป็นห่วงลูกนะรู้ไหม” พ่อพูดพลางยื่นมือมาแตะแขนฉัน “พ่อไม่เคยเห็นลูกคบกับใครเลย ถ้าลูกชอบผู้หญิงด้วยกันพ่อกับแม่ก็ไม่ว่าอะไรนะ”
ในสถานการณ์ปกติ ฉันอาจจะเถียงกับพ่อแม่นิดหน่อยเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของฉันดูจะอยู่ที่ศพเด็กทารกตรงหน้า
พวกเราคุยกันต่อสักพ้ก ฉันไม่ได้บอกพวกเขาเรื่องฝันร้ายหรือเรื่องที่ฉันถูกไล่ออก แค่บอกว่าฉันลางานสองสามวันเพื่อมาเยี่ยมบ้านเกิด
ตอนพ่อบอกให้ฉันอยู่ทานมื้อกลางวันด้วยกัน ความรู้สึกแรกคืออยากจะปฏิเสธ แต่ก่อนจะมีโอกาสได้ตอบ แม่ก็ห้ามไม่ให้ฉันไปไหนจนกว่าจะได้ทานข้าวด้วยกันเสียก่อน ฉันเลยต้องตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้
“เยี่ยมไปเลย” แม่ประกาศ “อุ้มน้องให้หน่อยสิ แม่จะไปทำกับข้าว” แม่ยื่นศพเด็กมาให้ตรงหน้า
ฉันโดดขึ้นยืนอย่างเร็วจนเกือบทำเก้าอี้ล้ม “ไม่!” ฉันเกือบตะโกน แต่พอมองเห็นสีหน้าสับสนของพ่อกับแม่ ฉันพยายามสงบสติอารมณ์อีกครั้ง “หนูช่วยแม่ทำอาหารดีกว่า” ฉันพูดเสียงสั่น
“ไม่ต้องหรอกลูก แม่แค่จะทำสปาเก็ตตี้เอง แม่อยากให้ลูกใช้เวลาเล่นกันน้องเขาบ้าง” แม่ผลักศพเด็กมาให้ขณะพูด
ตัวมันเบามาก และเล็กนิดเดียวเหมือนเด็กเพิ่งเกิด กลิ่นเหม็นเน่าลอยค้างในอากาศทำฉันเวียนหัว ฉันอุ้มมันไว้ในอ้อมแขนไม่อาจละสายตาไปจากมันได้ แม่เริ่มทำอาหารแล้ว และพ่อกำลังพูดบางอย่างกับฉัน แต่ฉันแทบจับใจความอะไรไม่ได้เลย ฉันเคลื่อนแขนเบาๆ และศพเคลื่อนเล็กน้อยจนเนื้อเน่าตรงหัวมันขยับ ตัวมันนุ่มนิ่มเหมือนฟองน้ำ
ฉันทนไม่ได้อีกต่อไป กระโดดขึ้นยืน ส่งต่อศพเด็กไปให้พ่ออุ้มแล้ววิ่งไปอ้วกในห้องน้ำ หลังจากสองสามนาทีผ่านไป ฉันคิดในใจขณะเอาหน้าผากแนบผนังเย็นในห้องน้ำ “พวกเขาบ้าไปแล้ว” ฉันพึมพำ “พ่อกับแม่เสียสติไปแล้ว!”
ฉันรู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็เป็นพ่อแม่ของฉัน ฉันจะปล่อยให้พวกเขาอยู่กันตามลำพังและเล่นบทครอบครัวสุขสันต์กับศพทารกไม่ได้เด็ดขาด
ฉันล้างปาก จากนั้นปาดน้ำตาออกจากหน้าก่อนเดินกลับไปที่ห้องครัว
“ลูกโอเคหรือเปล่าโรส?” พ่อถามและฉันพยักหน้า ตอนนี้พ่อเป็นคนอุ้มศพไว้ในอ้อมแขน พลางพูดและเล่นจ๊ะเอ๋กับมัน
ฉันเดินไปเปิดลิ้นชักช้อนส้อมแล้วหันไปมองแม่ที่กำลังวุ่นทำกับข้าวอยู่ ฉันแอบหยิบมีดหั่นสเต๊กขึ้นมาจากลิ้นชักแล้วซ่อนมันเอาไว้ในแขนเสื้อ
“แล้วลูกพักที่ไหนล่ะ?” แม่ถามขณะพวกเรานั่งกันรอบโต๊ะอีกครั้ง “อย่าบอกนะว่านอนในรถ”
เห็นได้ชัดว่าแม่ยังคงรู้จักฉันดี “ตอนนี้หนูพักอยู่กับอีไลจาห์”
“อีไลจาห์ ไนท์น่ะเหรอ?” พ่อถาม “พ่อบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้อยู่ให้ห่างจากไอ้หนุ่มนั่น?”
ฉันกำมือรอบส้อมแน่นจนรู้สึกเจ็บ “พ่อ หนูยี่สิบสี่แล้วนะ” ฉันตอบ พยายามสงบอารมณ์ “หนูจะอยู่กับใครก็ได้”
แม่ถอนใจ “แต่ทำไมต้องเป็นเขาด้วย? ทั้งครอบครัวนั่นสติไม่ดีนะลูก แม่ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับลูก”
“แม่คะ!” ฉันตะคอก
“แม่เขาพูดถูกนะโรส” พ่อเห็นด้วย “ทั้งพ่อกับแม่เขาสติไม่ดี ยายทวดของเขาก็เป็นผู้นำลัทธิฆ่าตัวตาย”
ฉันตัวแข็งทื่อ ไม่เคยได้ยินเรื่องลัทธิอะไรนั่นมาก่อน แน่นอนว่านี่ไม่จำเป็นต้องมีความหมายอะไร เพราะอีไลจาห์ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบในสิ่งเลวร้ายที่บรรพบุรุษได้ก่อไว้ แถมใครจะรู้ว่านั่นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า พ่อกับแม่ฉันต่างหากที่บ้าบอ เอาศพเด็กทารกมาเลี้ยงอย่างกับเป็นเด็กจริงๆ บางทีพ่อกับแม่อาจจะจินตนาการเรื่องทั้งหมดขึ้นเองก็ได้ พวกเขาเสียสติไปแล้วนี่นา
“แล้ว.. น้องของหนูเกิดเมื่อไหร่เหรอ?” ฉันเปลี่ยนเรื่อง รู้สึกได้ถึงความเย็นของคมมีดในแขนเสื้อ
แม่ท้องประมาณหนึ่งเดือนก่อนที่คฤหาสถ์ของครอบครัวไนท์จะถูกไฟเผา ถึงหมอจะบอกว่าการท้องในวัยนี้มีความเสี่ยงแต่พวกเขาก็ยังตัดสินใจเก็บเด็กเอาไว้ และเจ็ดเดือนหลังจากนั้น…
“น้องเค้าเป็นเด็กเงียบมากเลย” แม่พูดอย่างรักใคร่ “ไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้งเดียว”
จากนั้นพ่อกับแม่ก็พาลูกสาวที่แสนเงียบอย่างน่าประหลาดคนนี้กลับบ้านและเลี้ยงดูเธอราวกับว่ายังมีชีวิต
พวกเขาไม่เคยเอ่ยชื่อของศพเด็กนี่เลย…
ฉันกัดปากและฝืนยิ้ม จำได้ว่าพูดชมอะไรบางอย่างออกไปพลางกระพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำตา
ฉันไม่ได้แตะต้องอาหารตรงหน้าและบทสนทนาเงียบลงอีกครั้ง
ฉันนั่งรอให้พ่อกับแม่กินเสร็จ จากนั้นลุกขึ้นยืนเพื่อพยายามทำสิ่งที่คิดว่าจะทำให้พ่อกับแม่ตาสว่างขึ้นมาได้ ฉันชี้ไปที่ศพ “ให้หนูพาน้องกลับห้องนะ หนูว่าน้องง่วงแล้วล่ะ”
พ่อกับแม่ไม่ได้สงสัยอะไรเลย ที่จริงแม่ดูมีความสุขมากด้วยซ้ำขณะยื่นศพทารกมาให้ฉัน ฉันรู้สึกหน้ามืดอีกครั้งขณะรับศพมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน ฉันฝืนยิ้มให้แม่แล้วรีบเดินกลับไปที่ห้องเด็ก
ฉันต้องทำมันเดี๋ยวนี้
เวลาตอนนี้แค่เที่ยงนิดๆ แต่เมฆฝนทำให้รู้สึกเหมือนช่วงเย็นเกือบค่ำเสียมากกว่า ฉันไม่ได้เปิดไฟ จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่ต้องเห็นรายละเอียดของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ฉันวางมันลงบนเตียง รู้สึกว่าสิ่งที่กำลังจะทำมันน่าขันนัก ฉันดึงเอามีดออกมาจากแขนเสื้อแล้วเงื้อขึ้นสูง
ฉันลังเล แน่นอนว่าศพที่อยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้ตายไปนานแล้ว ไม่ใช่ซอมบี้อย่างทันย่า แต่เป็นแค่เศษซากของบางอย่างที่ไม่เคยได้มีชีวิตมาตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ แต่ฉันต้องพิสูจน์ให้พ่อกับแม่เห็นและยอมรับความเป็นจริง ว่าเด็กนี่ตายไปนานแล้ว
ฉันเงื้อมีดขึ้นสูงอีกนิด จากนั้นปักมันลงไปที่อกของสิ่งที่แม่เรียกว่าน้องสาวของฉัน
สองสามวินาทีหลังจากนั้น ฉันได้ยินเสียงแม่กรีดร้องลั่นซึ่งดึงฉันหลุดจากภวังค์ ฉันหันไปเผชิญหน้ากับพ่อและแม่พลางดึงมึดออกจากอกศพเด็กและตอนนี้ฉันถือมีดสกปรกอยู่ในมือ สภาพฉันตอนนั้นคงดูเหมือนฆาตกรไม่มีผิด
“ทำอะไรลงไปน่ะ?” พ่อฉันถามเสียงเข้มขณะแม่ร้องให้สะอึกสะอื้น
“พ่อ.. แม่.. น้องตายไปนานแล้วนะ” ฉันปล่อยมีดตกลงพื้น
“ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!” พ่อพูดขณะมองฉันด้วยสีหน้าสะอิดสะเอียน ฉันรู้ว่าฉันทำสำเร็จ นี่ไม่ใช่การตอบสนองของคนที่เพิ่งเห็นลูกถูกฆาตกรรม แสดงว่าพ่อรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาเก็บศพเด็กเอาไว้ในบ้าน แต่ถึงอย่างนั้น สายตาเกลียดชังที่พวกเขามองฉันก็ทำฉันเจ็บที่ใจจนแทบทนไม่ไหว
แม่ยังร้องไห้ไม่หยุด
“หนูไม่ได้ฆ่าน้อง!” ฉันพูดซ้ำๆ ใกล้จะร้องไห้เต็มที
“อย่าได้กลับมาอีก” พ่อพูดเสียงเรียบ
ฉันเดินออกจากบ้าน หลังค่อมเหมือนคนสิ้นหวัง ตอนนี้ข้างนอกฝนตกหนักทำเอาเสื้อผ้าเปียกโชก และฉันปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาเสียงดังอย่างไม่อายใครอีก ความหวังใดๆ ที่จะกลับไปสานสัมพันธ์กับพ่อและแม่อีกครั้งเป็นอันต้องจบลงตรงนี้
ด้วยมือสั่นเทา ฉันยืดตัวตรงอีกครั้ง เดินไปขึ้นรถแล้วโทรหาอีไลจาห์ ตอนนี้อยากพูดกับใครสักคน อยากหยุดคิดถึงเรื่องน่ากลัวและน่าเศร้าที่เพิ่งได้ประสบมาในบ้านของตัวเอง แต่อีไลจาห์ไม่รับสาย
ฉันเลยโทรอีกเบอร์แทน
“ฮัลโหล มิลตันพูด” เสียงสดใสพูดมาตามสาย
“โจเซป นี่โรสซาลี ฉันตกลงรับงานนั่น”
(โปรดติดตามตอนต่อไป...)
--------------------------------


0 ความคิดเห็น