ผมเป็นอดีตนักข่าว นี่เป็นเรื่องที่ไม่ได้ลงตีพิมพ์ ตอนที่ 1: นักเรียนคนที่ 26

 


ฟังพอตคาสต์เพลินๆ


เคสที่ 1: นักเรียนคนที่ 26 ในชั้นเรียนที่มีนักเรียน 25 คน

ผมยื่นจดหมายลาออกในที่สุดหลังจากทำงานเป็นนักข่าวมากว่า 40 ปี ถึงเวลาแล้วที่ผมควรต้องโฟกัสกับเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญกว่างาน อย่างความสัมพันธ์ส่วนตัว ครอบครัว และการวางแผนชีวิตหลังเกษียนไปอีกสัก 20 ปีข้างหน้าก่อนตาย

ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นนักข่าวแนวสืบสวน ผมจะไม่อวดว่าดีเด่เท่านักข่าวที่คุณเห็นบนจอทีวี หรือว่าผมพยายามจะตีพิมพ์เรื่องจริงเท่านั้นในบทความของผม เพราะข่าวของผมเป็นแนวเรื่องที่อธิบายไม่ได้ ผมสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเคสคดีที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ จากนั้นเขียนถึงข้อพิสูจน์หรือบทสรุปที่สมเหตุสมผลให้คนอ่านได้อ่านกัน

ผมได้รับอีเมลจากจานิส อดีตบรรณาธิการของผม จานิสกับผมทำงานด้วยกันมานานมากแล้ว แต่พวกเราไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ เธอมักจะปฏิเสธร่างบทความเรื่องเหนือธรรมชาติของผมตลอด บ่นว่าถ้าปล่อยให้ผมตีพิมพ์เรื่องไร้สาระพวกนั้นเธอจะเสี่ยงถูกไล่ออก ผมเองก็จะยืนกรานให้เธอยอมรับร่างบทความพวกนั้น โดยบอกว่าผมเองก็จะตกงานถ้าเขียนไม่ถึงโควต้าของเดือนตามที่ตั้งไว้

และนั่นเป็นธรรมชาติความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนร่วมงานพวกเรา เราเกลียดความคิดของกันและกัน แต่ก็พึ่งพากันเพื่อให้คงอาชีพการงานเอาไว้

ในอีเมล มันเป็นแค่จดหมายบอกลาและขอให้ผมโชคดี แต่มันมีลิงก์กูเกิ้ลไดรฟ์แนบมาด้วยนี่สิ..

“ปล. นายเข้าใจใช่มั้ยว่าฉันเสี่ยงจะถูกไล่ออกถ้ามีคนรู้เรื่องนี้เข้า แต่ฉันรวบรวมร่างบทความของนายทั้งหมดตลอดทั้งปีที่ฉันเป็นคนปฎิเสธมาไว้ในไดรฟ์นี่ จะเอาไปตีพิมพ์ที่ไหนก็ตามใจนะ แค่อย่าได้เอ่ยชื่อฉันเด็ดขาด ขอให้โชคดี”

“หืม.. แปลกแฮะ ทำไมอยู่ๆ ถึงใจดีขึ้นมา” ผมพึมพำกับตัวเองแล้วคลิกที่ลิงก์ ข้างใน บันทึกย่อที่เขียนด้วยลายมือ แบบร่างที่พิมพ์เก็บเอาไว้ บันทึกเสียง และรูปถ่ายทั้งหมดของผมถูกอัปโหลดลงในโฟลเดอร์ตามลำดับเวลา นี่คงเป็นของขวัญเกษียนอายุจากจานิสสินะ ผมตอบอีเมลของเธอด้วยข้อความสั้นๆ ว่า "ขอบคุณ แต่ผมจะยังเอ่ยชื่อคุณอยู่ดี เพราะงั้น เตรียมทำใจไว้ได้เลย” จากนั้นผมดาวน์โหลดเอกสารและรูปภาพทั้งหมดลงในคอมพิวเตอร์ เผื่อว่าเธออ่านอีเมลผมแล้วเกิดเปลี่ยนใจลบไดรฟ์ขึ้นมา

​___


ผมเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ในปี 1998 แต่เรื่องมันเกิดขึ้นนานกว่านั้นมากนัก

มันเกิดขึ้นในฮานาคางุระ ประเทศสิงคโปร์ ต้องเกริ่นนำก่อนว่า สถานที่นี้เคยมีชื่อว่า บูกิตบาต็อก (Bukit Batok) มาก่อนจนกระทั่งมาเปลี่ยนชื่อเป็นฮานาคางุระตอนญี่ปุ่นเข้าครองประเทศ มันเป็นสถานที่ที่เกืดการต่อสู้กันอย่างดุเดือดที่สุดระหว่างกองทัพญี่ปุ่นและอังกฤษ หลังจากกองทัพญี่ปุ่นเป็นฝ่ายชนะ พวกเขาสร้างศาลเจ้าและหมู่บ้านบนเนินเขาบูกิต บาตอกขึ้นมา และได้เปลี่ยนชื่อบริเวณโดยรอบเป็น "花神楽" (ฮานาคางุระ) ซึ่งแปลตามตัวอักษรว่า "การเต้นรำของเทพเจ้าดอกไม้"

แต่ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่สถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์อะไร หากแต่ถูกใช้เป็นสถานที่กักกันหญิงสาวอายุยังน้อยที่ถูกบังคับให้ขายบริการในสมัยนั้น ใครก็ตามที่ไม่ยินยอมจะถูกทหารเผาทั้งเป็นที่ศาลเจ้านั่นเอง เรื่องราวความโหดร้ายดังกล่าวถูกเปิดเผยก็เมื่อกองทัพอังกฤษกลับมาหลังกองทัพญี่ปุ่นยอมจำนนในที่สุด แต่ถึงกระนั้นทั้งชื่อ “ฮานาคางุระ”, ศาลเจ้า, และหมู่บ้านในพื้นที่นั้นก็ยังคงถูกเก็บรักษาไว้โดยไม่มีใครไม่ทราบเหตุผลว่าเพราะอะไร แม้ว่าจะมีการประท้วงจากอดีตผู้อยู่อาศัยเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง

สถานที่ที่มีประวัติดำมืดเช่นนี้ มักจะมีเรื่องที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นเสมอ นั่นพาพวกเราย้อนกลับไปยังปี 1984 ในสมัยที่เมืองใหม่ฮานางุระถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก ภายในหกเดือนหลังจากนั้น มีเด็กสาวจากโรงเรียนมัธยมเมืองฮานาคางุระสามคนหายตัวไปอย่างลึกลับและไร้ร่องรอย ทั้งสามคนอาศัยอยู่ที่เชิงเขาบูกิต บาตอกซึ่งเป็นหมู่บ้านเก่า ผู้อยู่อาศัยใหม่ต่างก็หวาดกลัวและคิดกันว่าหมู่บ้านนั้นต้องคำสาป พวกเขาจึงเชิญนักบวช คนทรง อิมาน ใครก็ตามที่พวกเขาคิดว่าจะสามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้ายที่สิงสู่อยู่บนเนินเขาออกไปได้ หลังจากพยายามทุกวิถีทางแล้ว พวกเขาก็ยังหาเด็กสาวสามคนที่หายตัวไปไม่พบ แต่ก็ไม่เกิดเหตุการณ์การหายตัวไปของเด็กสาวแถวนั้นอีก

13 ปีผ่านไปอย่างสงบสุข จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณครูโรงเรียนมัธยมเมืองฮานาคางุระได้จัดทัศนศึกษาไปที่เมืองฮานาคางุระในปี 1997 เด็กบางคนอ้างว่าเห็นเงาประหลาดและประตูเปิดปิดเองได้ ครูคนนั้นถูกตำหนิอยู่บ้างที่พาเด็กไปในที่น่ากลัวแบบนั้น แต่ก็ไม่มีอะไรอันตรายใดๆ เกิดขึ้นและทุกคนกลับถึงโรงเรียนอย่างปลอดภัย โรงเรียนเลยไม่ได้ตามเรื่องนี้ต่อหรือเอาผิดคุณครูคนนั้นแต่อย่างใด

หนึ่งปีผ่านไป ตอนนั้นผมกำลังจะเขียนบทความเกี่ยวกับวิกฤตการเงินในเอเชียเสร็จตอนเจนิสโทรมาหา

“นายควรลองหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนมัธยมเมืองฮานาคางุระดูนะ” เธอพูดก่อนวางสาย จากนั้นผมได้รับอีเมลข้อมูลเกี่ยวกับทริปทัศนศึกษาในปี 1997 จากเธอ มันน่าสนใจอยู่ ผมเลยหยิบเครื่องบันทึกเสียงและกล้องถ่ายรูปแล้วนั่งแท็กซี่ไปยังเมืองฮานาคางุระวันนั้นเลย

โรงเรียนไม่ได้ต้อนรับผมอย่างเต็มใจนักแต่ก็ยังให้อนุญาตผมได้สัมภาษณ์นักเรียนและพนักงานรักษาความปลอดภัยหลังโรงเรียนเลิก

“แล้วครูที่เป็นคนดูแลทัศนศึกษาครั้งนั้นละครับ?” ผมถามพนักงานรักษาความปลอดภัย เพราะไม่มีใครพูดถึงเธอเลยทั้งๆ ที่เธอดูจะเป็นบุคคลสำคัญสำหรับเหตุการณ์นั้น

“เธอ.. เอ่อ.. คุณครูแทนฆ่าตัวตายหนึ่งเดือนหลังกลับมาจากทัศนศึกษาครับ” เขาพูดเสียงเบาแทบฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ความกลัวในน้ำเสียงฟังดูชัดเจนยิ่งนัก “มีอะไรบางอย่างที่แปลกเอามากๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ผู้จัดการไม่ยอมพูดอะไร คุณเองก็ควรระวังเอาไว้บ้างนะครับ” เขาพูดเสียงเบากว่าเดิม

ส่วนเด็กๆ ต่างมีสีหน้าเหมือนพวกเขาอยู่ในงานศพมากกว่ามาโรงเรียน

ในที่สุดผมก็ได้สัมภาษณ์นักเรียนคนหนึ่งในห้องสมุด เธอบอกว่าอยู่ในชั้นเรียนที่เดินทางไปที่เมืองฮานาคางุระในวันนั้น ผมโชคดีชะมัด

เด็กสาวหน้าตาดีแนะนำตัวเองว่าชื่อ วอง ตงหยาง เธอตกลงจะให้สัมภาษณ์โดยบอกว่ามีข้อแม้หนึ่งข้อที่จะบอกผมทีหลังว่าคืออะไร มันก็ทะแม่งๆ พิกลนั่นล่ะ แต่ตอนนั้นผมดีใจที่จะได้ข้อมูลเลยรับปากไปและเริ่มการสัมภาษณ์

ผมกดปุ่มเครื่องบันทึกเสียงแล้ววางมันระหว่างเราสองคน

ผม - แนะนำตัวเองหน่อย

ตงหยาง - หนูชื่อวอง ตงหยาง จากห้อง 2N3

ผม - บอกได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

ตงหยาง - เมื่อเดือนก่อน พวกเราไปถ่ายรูปรวมของชั้นเรียนกันหน้าห้องเรียน ในชั้นเรียนหนูมีนักเรียนทั้งหมด 25 คน รวมทั้งหนูด้วย 

ผม - แล้วเกิดอะไรขึ้นเหรอ?

ตงหยาง - มันก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นหรอกค่ะ จนกระทั่งตอนที่พวกเราได้รับหนังสือรุ่นถึงได้สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับรูปที่ถ่ายวันนั้น

เธอพูดพลางยื่นหนังสือรุ่นเล่มนั้นให้ผมดูรูปถ่ายดังกล่าว (คลิกเพื่อดูรูปถ่าย) ในรูปทุกอย่างดูปกติดี แต่มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่ถูกใช้ปากกาขีดลบใบหน้าและชื่อออก

ตงหยาง - เด็กคนนั้น เธอ.. เธอไม่สมควรจะอยู่ในรูป เธอไม่มีตัวตนก่อนหน้านี้ แต่อยู่ๆ ก็มายืนระหว่างหนูกับครูแทน ไม่มีใครจำได้ว่าเห็นเธอในวันนั้น พวกเรา.. เรียกเธอว่านักเรียนคนที่ 26

ผม - แล้วหนูรู้มั้ยว่าเธอเป็นใคร?

ตงหยาง - หนู.. หนูเองก็ไม่รู้ หนูไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน ไม่เคยมีใครเคยเห็นเธอมาก่อน บางคนบอกว่าเธอเป็นหนึ่งในเด็กสาวสามคนที่หายตัวไปเมื่อหลายปีมาแล้ว พวกเขาบอกว่ามันเป็นเพราะพวกเราไปทัศนศีกษาที่เมืองฮานาคางุระเมื่อปีที่แล้ว และตอนนี้ชั้นเรียนเราต้องคำสาป..

ผมหยุดเครื่องบันทึกเสียง ใจอยากจะปลอบเด็กนักเรียนผู้น่าสงสาร แต่จะพูดอะไรได้ล่ะ ผมไม่ได้ประสบเหตุการณ์เดียวกันกับเธอ ไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ

เธอปาดน้ำตาทิ้งแล้วเริ่มพูด “เอ่อ.. ข้อแม้ที่หนูขอไว้ก่อนเริ่มสัมภาษณ์..”

ผมพยักหน้า “อืม ว่ามาสิ”

“หนู.. หนูอยากให้คุณไปเป็นเพื่อนหนูที่เมืองฮานาคางุระคืนนี้” 


(โปรดติดตามตอนต่อไป..)

**************


😍😍Special thanks to Killmonger_v1, the author of the original story. You are awesome!


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น