เลดี้กริมม์


(💭คำเตือน: มีฉากทำร้ายร่างกายเด็ก)

อากาศตอนนี้หนาวเหน็บ ลมเย็นเฉียบกัดปลายจมูกขณะผมเดินไปที่โบสถ์พลางกอดอกให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อความอบอุ่น ผมเริ่มไปที่นั่นบ่อยๆ มาปีกว่าแล้ว มันเป็นที่หลบภัยของผมทุกครั้งที่ถูกพ่อไล่เตะออกจากบ้าน

พ่อกับแม่ผมทะเลาะกันครั้งแล้วครั้งแล่าและชอบมาลงที่ผม ตบหน้าผมและโยนผมออกออกจากบ้านถ้าผมกล้าจะพูดอะไร ตอนไปเจอโบสถ์แห่งนี้ ผมเดินไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย มองหาสถานที่ปลอดภัยเงียบๆ ที่ไม่มีใครอยู่เพื่ออาศัยนอน 

ถ้าคุณสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่ไปหาเพื่อนเพื่อขออาศัยนอนสักคืน มั่นเป็นเพราะผมไม่มีเพื่อนสักคน ผมเป็นหนอนหนังสือที่ปกติไม่พูดอะไรกับใครมากนัก คนส่วนมากแค่เหลือบมองผมแล้วมองผ่านไป และพวกที่บูลลี่ผมก็ไล่คนที่อยากเป็นเพื่อนกับผมออกไปหมด นั่นอธิบายว่าทำไมในคืนหนึ่ง เด็กตัวเล็กๆ อายุแค่เก้าขวบถึงเดินโซเซเข้าไปหาที่พักพิงในโบสถ์ร้าง และตอนนี้เมื่ออายุได้สิบปี เด็กชายคนเดิมมีเลือดออก บาดเจ็บ หิมะกัดปลายจมูกและเศร้าสร้อยถึงกำลังเดินฝ่าสายฝนเย็นจับขั้วหัวใจกลางดึกมุ่งหน้าไปยังโบสถ์ร้างแห่งนั้น

ลำตัวด้านข้างผมที่พ่อเตะเข้าอย่างจังเจ็บระบม และมือผมตอนนี้ทั้งแดงทั้งบวมจนชาไม่รู้สึกอะไรเลยตอนเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู ผมเปิดประตูเดินเข้าไปข้างใน จากนั้นล้มตัวลงนอนสั่นอยู่บนม้านั่งยาวตัวหนึ่ง

เสื้อแจ็คเก็ตของผมเก่าและไม่ช่วยกันหนาวมากนัก โดยเฉพาะในคืนที่ฝนตกและผมตัวเปียกแบบนี้ แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณที่มีสถานที่นี้ให้พักพิง

ผมมีแค่เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ตอนนี้ กางเกงวอร์มสกปรก รองเท้าผ้าใบเก่าๆ เสื้อยืด และแจ็กเก็ตผ้าขนเป็ดที่ยังคงมีกลิ่นแอลกอฮอล์จากพ่อผม ทุกอย่างเปียกโชกไปหมด

ผมลองค้นหาผ้าห่มและของใช้อื่นในโบสถ์ร้างแห่งนี้อยู่หลายครั้งตอนมาครั้งที่แล้วแต่ไม่พบอะไรเลย คราวนี้เลยไม่ได้ใส่ใจจะค้นหาอะไรอีก ผมแค่นอนอยู่ตรงนั้น ฟังเสียงฝนและเสียงหัวใจตัวเองเต้นช้าๆ พลางคิดสงสัยว่าทำไมผมถึงต้องมาจบลงที่โบสถ์ร้างแห่งนี้ พ่อบอกผมว่าคราวนี้อย่าได้กลับมาอีก

ต้องเร่ร่อนไร้บ้านตั้งแต่สิบขวบ เยี่ยมเลย


ผมคิดแดกดันโชคชะตาตัวเองไปเรื่อย ที่จริงผมเดาไว้แล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้นสักวัน พ่อตบแม่เมื่ออาทิตย์ก่อนและทุกอย่างแย่ลงเรื่อยๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ผมนอนครุ่นคิดเรื่องนั้นอยู่นาน กว่าจะรู้ตัวอีกทีแสงอาทิตย์ก็เริ่มสาดส่องท้องฟ้า ผมออกเดินไปตามถนน แขนขาชาไปหมด พลางคิดว่าควรจะทำยังไงดี ผมไม่กล้ากลับไปที่บ้าน พ่อต้องซ้อมผมอีกแน่ถ้าเห็นผม ตอนนี้โรงเรียนหยุดเสาร์อาทิตย์ ใช่ว่าผมจะอยากไปโรงเรียนหรืออะไร และผมคงอยู่รอดได้อีกไม่นานถ้าไม่มีน้ำดื่มและอาหาร

ผมรวบรวมกิ่งไม้แห้งเล็กๆ และชิ้นไม้หักๆ ที่หาเจอแล้วกลับไปที่โบสถ์ กองมันไว้ด้วยกันบนพื้น ผมรู้สึกมีความหวังขึ้นมาก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่มีไฟแช็กหรือไม้ขีดไฟเพื่อจุดไฟ

ผมถอนใจ ผมลุกยืนแล้วเริ่มวิ่งจ๊อกกิ้งอยู่กับที่ ตอนนี้เสื้อผ้าผมแห้งแล้ว พอเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง ผมดึงแขนม้านั่งออกจากม้านั่งเก่าซอมซ่อแล้วเริ่มปั่นไม้ไปมาในมือเร็วๆ เพื่อจุดไฟ

มันไม่ได้ผลมากนัก ผมปั่นได้ไม่เร็วพอและหลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง มันแค่เกิดความอุ่นขึ้นมานิดเดียว ผมถอนใจ หงายหลังไปพิงพนักเก้าอี้ยาวอย่างถอดใจ หัวพยายามคิดหาวิธีเอาตัวรอด หลังจากคิดอะไรไม่ออกอยู่หลายนาที ผมคิดไปถึงบทเรียนที่เคยเรียนเรื่องแรงเสียดสี จำได้ว่าครูเคยสอนวิธีปั่นไม้ที่ได้ผลง่ายกว่า

ผมยิ้มออก ดึงเชือกผูกรองเท้าข้างหนึ่งออกมาจากรองเท้าผ้าใบเก่าๆ ที่ใส่อยู่แล้วผูกปมคันธนู ต้องใช้เวลาฝึกฝนนิดหน่อยแต่ผมทำสำเร็จก่อนพระอาทิตย์ตกดินพอดี

ก่อนแสงตะวันสุดท้ายจะหมดไป ผมหยิบหญ้าแห้งจากรอยแตกบนพื้นขึ้นมาแล้วเริ่มก่อไฟ ดึงปมคันธนูกลับไปกลับมาเป็นจังหวะคงที่ มันปั่นไม้ได้เร็วกว่าใช้มือเปล่าหมุนมากเลยทีเดียว และตอนนี้เริ่มมีควันออกมาแล้ว

ตอนนี้ผมได้กองไฟเล็กๆ ที่เริ่มใหญ่ขึ้นเมื่อผมเติมเศษไม้แห้งลงไป ในที่สุดกองไฟก็ใหญ่มากพอจะทำให้ผมมั่นใจว่ามันจะไม่ดับไปตอนผมนอนหลับคืนนี้

วันต่อมาก็เหมือนเดิม ผมเคยชินกับการไม่ได้กินอะไรมากนักเพราะที่บ้านก็ไม่ได้ให้ผมกินอะไรมากมาย ปัญหาใหญ่คือการหาไม้มาเติมกองไฟสำหรับคืนนี้ เพราะผมใช้มันเกือบหมดเมื่อคืน 

ผมตามเก็บไม้ไปทั่วแต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับคืนถัดไป ผมพยายามก่อไฟกองเล็กกว่าเดิม แต่ต้องตื่นกลางดึกด้วยความหนาวสั่นสุดขั้วหัวใจ ผมลืมตาที่เหนื่อยล้าขึ้นช้าๆ และคิดว่ามองเห็นเด็กผู้หญิงยืนอยู่ที่หน้าแท่นบูชา ดูจากความสูง เธอน่าจะอายุประมาณเจ็ดถึงแปดปี แต่พอผมขยี้ตาแล้วมองอีกที เธอก็หายไปแล้ว

“แปลกแฮะ..” ผมพึมพำ หายไปไหนกัน.. ผมนอนอยู่แบบนั้นสักพักก่อนผล็อยหลับไปอีกครั้ง

วันต่อมา ทุกอย่างดูจะยากขึ้นกว่าเดิม ความหิวโหยเริ่มมีผลกับผมเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวัน แต่ผมก็ยังทนต่อไป

ผมกินหิมะไปนิดหน่อยเพื่อพยายามหลอกท้องผมให้คิดว่าได้ย่อยอะไรบ้าง พระอาทิตย์กำลังจะตกดินอีกแล้ว และเพื่อความอยู่รอด ความหวังเดียวคือจะต้องพยายามตามหาเด็กผู้หญิงที่ผมเห็นเมื่อคืนให้เจอ

ดังนั้นพอตกกลางคืน ผมล้มตัวลงนอนในแบบที่ดูเหมือนกำลังนอนหลับแต่ยังมองเห็นแท่นบูชาได้ชัดเจน และปล่อยให้ผมปรกหน้าเพื่ออำพราง ผมเคยทำแบบนี้เพื่อหลอกพ่อผมมาก่อน 

หลังจากนอนรออยู่อย่างนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมได้ยินเสียงประตูโบสถ์เปิดออก ไม่ใช่เด็กผู้หญิงอย่างที่ผมคาดไว้ แต่เป็นสุนัขสีดำขลับตัวมโหฬารเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ และหยุดลงที่หน้าแท่นบูชา มันมีขนดำขลับและดวงตาสีเหลืองมันวาว มีสีเทาเข้มแต้มที่ปลายจมูกบ่งบอกให้รู้ว่ามันอายุมากเอาการ

จากนั้นไม่นานมีม้าสีเทาซีดพร้อมจุดสีขาวบนหลังปรากฏตัวขึ้นกลางโบสถ์ เดินตามมาและไปหยุดอยู่ข้างสุนัขตัวนั้น

ไม่มีเสียงฝีเท้าใดๆ ทั้งสิ้นตอนพวกมันเดินเข้ามาในโบสถ์ พวกมันยืนอยู่ข้างกันหน้าแท่นบูชาเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง และอยู่ๆ ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งปรากฎขึ้นตรงหน้าพวกมัน ผมสีบลอนด์ออกขาวลอยอยู่รอบใบหน้าของเธอราวกับว่าเธอกำลังอยู่ใต้น้ำ เธอสวมชุดเดรสสีเขียว รายละเอียดที่น่าสังเกตเพียงอย่างเดียวคือแขนเสื้อยาวและคอปกเป็นจีบ กางเกงเลกกิ้งสีขาวหนาและรองเท้าสีดำที่รัดด้วยกระดุมปิดขาที่เหลือของเธอ ทับด้วยเสื้อคลุมฤดูหนาวสีดำ เสื้อผ้าของเธอดูแข็งทื่อราวกับถูกน้ำแข็งปกคลุม ขณะที่ผิวซีดออกฟ้า

เธอยื่นมือไปลูบหัวสัตว์ทั้งสอง ผมลุกขึ้นเพื่อทักทาย แต่เธอหันมามองด้วยความตกใจและทั้งสามหายวับไปกับตา นั่นมันอะไรกัน? ผมเดินไปที่แท่นบูชาแล้วร้องเรียก

“ห..หวัดดี? ขอโทษนะถ้าทำให้ตกใจ! ฉันไม่คิดว่าจะมีม้าในโบสถ์ เธอโอเคหรือเปล่า? ดูเหมือนเธอหนาวน่าดู หลงทางมาเหรอ? มีอะไรให้ช่วยมั้ย?”

ไม่มีคำตอบ ผมรออยู่สักพักก่อนมองไปรอบๆ และไม่เห็นอะไรอื่น ไม่นานแสงอาทิตย์ก็ส่องสว่างอีกครั้ง

อีกสองสามวันผ่านไป ผมไม่มีอาหารและหาเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่เจอ

อีกห้าวันของความเหน็บหนาวผ่านไป ผมรู้สึกชาที่หน้าและปลายมือปลายเท้า พอยกมือขึ้นดูก็เห็นว่ามันกลายเป็นสีเทาออกม่วงแล้ว การเอามือใส่กระเป๋าเพื่อกันหนาวดูเหมือนไม่ช่วยอะไร มือของผมไม่มีความอุ่นหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว

คืนนั้น ผมนอนสั่นอยู่บนม้ายาว ใจครุ่นคิดว่าทำไมผมถึงมาจบลงในสถานที่หนาวเย็นและโดดเดี่ยวนี้ ผมทำอะไรผิดไปถึงต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ ผมนอนมองนาฬิกาติดผนังตีเวลาเที่ยงคืน และอยู่ๆ ผมได้ยินเสียงระฆังของโบสถ์ก้องกังวานไปทั่ว แต่พอผมพยายามลุกขึ้นเพื่อเดินสำรวจกลับขยับตัวไม่ได้

ทำไมภาพตรงหน้าผมถึงพร่าเบลอแบบนี้นะ ผมไม่ได้หลับตาเสียหน่อย ทำไมมองอะไรไม่เห็นเลย? 

จากนั้นผมลุกยืน คราวนี้รู้สึกเหมือนร่างกายไร้น้ำหนักและการลุกขึ้นยืนทำได้อย่างง่ายดายไม่น่าเชื่อ ผมเดินตัวเบาหวิวไปที่แทนบูชาแล้วนั่งลงที่นั่น ปล่อยให้ขาข้างหนึ่งห้อยแกว่งไปมา

ผมนั่งอยู่ตรงนั้นสักพักและภาพของเด็กผู้หญิงคนเดิมปรากฎขึ้นข้างผม 

“ฉันตายแล้วใช่หรือเปล่า?” ผมพูดเป็นประโยคบอกเล่ามากกว่าประโยคคำถาม

“ใช่” เธอตอบ ตายังคงมองดวงจันทร์ผ่านรูบนหลังคาโบสถ์

“เธอเองก็ตายแล้วใช่หรือเปล่า?” ผมถามและเธอพยักหน้า

“เธอชื่ออะไรเหรอ? ฉันชื่อเฮนรี่”

“เอลลี่” เธอบอก

“เอลินอร์เหรอ?”

“ไม่ใช่ อีเลียตต่างหาก” เธออธิบาย

ตอนนั้นเอง สุนัขสีดำปรากฎตัวขึ้นแล้วเดินมาทางเรา ดมแล้วเลียมือผมหนึ่งที และพอผมหันไปหาอีเลียต เจ้าสุนัขสีดำตัวเดิมตอนนี้นอนอยู่บนตักเธอ ดูมีความสุขที่ถูกลูบหัว ผมตกใจแทบล้มหัวทิ่มตอนหมูป่าตัวโตโผล่มาข้างๆ

“ทำไมพวกเธอทั้งหมดมาอยู่กันที่นี่?” ผมถาม ตอนนี้แน่ใจว่าทั้งหมดเป็นผี และในเมื่อมีสุสานอยู่ด้านนอกโบสถ์ การที่วิญญาณของอีเลียตอยู่ที่นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่วิญญาณม้าและหมูป่าล่ะ? มันผิดที่ผิดทางน่าดู

“เคยได้ยินเรื่องวิญญาณเฝ้าโบสถ์หรือเปล่า?” เธอถาม และผมส่ายหัว

“เวลาจะสร้างโบสถ์ใหม่ มันเป็นความเชื่อว่าบุคคลแรกที่ถูกฝังที่นั่นจะเป็นวิญญาณที่คอยพิทักษ์ปกป้องโบสถ์จากพวกที่เข้ามาทำลายข้าวของ ขโมย และที่สำคัญที่สุด ปกป้องโบสต์จากปีศาจร้าย และเพื่อไม่ให้มนุษย์ต้องกลายเป็นวิญญาณเฝ้าโบสถ์ พวกเขาจะฝังศพหมาทางทิศเหนือของโบสถ์แทน เพื่อให้มันกลายมาเป็นวิญญาณพิทักษ์ปกป้องโบสถ์” เธอลูบหัวมัน

“จะใช้อะไรก็ได้ ม้า หมู หรือหมูป่า หรือแม้แต่แกะก็ได้ ซึ่งพวกมันจะถูกฝังใต้แท่นบูชา อีกอย่างคือ ใครก็ตามที่เพิ่งถูกฝังล่าสุดก็จะกลายเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์โบสถ์ด้วยจนกว่าจะมีคนใหม่ถูกฝังที่นี่” เธอพูดเรื่อยๆ “ฉันเองที่ถูกฝังเป็นรายสุดท้าย” เธอพูดพร้อมรอยยิ้มเศร้า

“แย่ชะมัดเลย ต้องน่าเศร้ามากแน่ๆ ที่ต้องมาติดอยู่ที่นี่” ผมนึกสงสารเธอขึ้นมาจับใจ ในเมื่อโบสถ์แห่งนี้กลายเป็นโบสถ์ร้างไปแล้ว แสดงว่าจะไม่มีใครมาถูกฝังที่นี่อีก นั่นหมายความว่าเธอจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป “เธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว?”

“ตั้งแต่โบสถ์ถูกทิ้งร้างนั่นแหละ” เธอตอบเศร้าๆ

พวกเรานั่งมองดวงจันทร์กันอยู่เงียบๆ สักพักก่อนเธอเริ่มพูดอีกครั้ง

“เธอยังอยากมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?” เธอกระซิบถามเบาๆ

“ไม่รู้สิ” ผมตอบ ชีวิตผมไม่ได้ดีเด่อะไร และผมไม่อยากกลับไปที่จุดนั้นอีก แต่ก็รู้สึกผิดที่จะโยนชีวิตที่มีค่าทิ้งไปขณะที่อีเลียตถูกพรากชีวิตไปก่อนที่เธอจะอยากตายตั้งนาน

“งั้นก็หาเหตุผลที่ทำให้เธออยากมีชีวิตอยู่สิ จะไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สามนะ อย่าตายเพราะทำอะไรโง่ๆ เหมือนอย่างฉันนะ ตกลงมั้ย?” เธอหันมายิ้มให้ผม

“โอกาสที่สามเหรอ?” ผมพูดตาม เธอข้ามโอกาสที่สองไปไม่ใช้เหรอ? ผมคิดงง

“มีกลุ่มคนกำลังมากันที่นี่ นักสำรวจหรือคนล่าผี พวกเขาจะมาพบร่างของเธอและอาจจะช่วยพาเธอส่งโรงพยาบาลได้ แต่ก่อนหน้านั้น…” เธอหยุดพูดขณะม้าสีเทาเดินเข้ามาหาโดยมีร่างของผมบนหลัง และวางร่างผมลงบนแท่นบูชาอย่างแผ่วเบา

“ไป!” ผมสะดุ้งกับเสียงตะโกนของเธอขณะโบกมือไปทางประตู “กลับไปบอกคนทั้งโลกถึงการตายอย่างโหดร้ายของเธอ! บอกทั้งโลกว่าพวกผู้ใหญ่ช่างไร้ความปราณีและปล่อยให้เด็กชายผู้น่าสงสารต้องหนาวตายโดยไม่ช่วยเหลืออะไรเลย!” ผมเกิดฮึกเหิมขึ้นมาอย่างฉับพลันขณะกระโดดขึ้นขี่หลังม้าแล้วออกวิ่งโดยมีแกะและหมูป่าวิ่งตาม

เราวิ่งเต็มความเร็วไปตามเส้นทางลูกรังมุ่งหน้าไปสู่เมืองเล็กๆ ไปตามถนน ม้าร้องอย่างดุเดือดในขณะที่ผมเกาะหลังมันไว้ด้วยทักษะเชี่ยวชาญแม้จะไม่เคยขี่ม้ามาก่อน หกนาทีผ่านไป ซึ่งนับแทนเวลาหกวันที่ผมค่อยๆ หนาวตายอย่างโดดเดี่ยวและทุกข์ทรมาน เจ้าม้าหันหลังกลับและวิ่งกลับไปที่โบสถ์ มันชะลอฝีเท้า เดินกลับเข้าโบสถ์ไปยืนอยู่หน้าเด็กหญิงที่แท่นบูชาอีกครั้ง 

“ฉันยังไม่อยากตาย” ผมพูดเสียงแผ่วพลางหอบหายใจ

“งั้นก็รีบไปซะ ไปตามหาผู้ช่วยชีวิตของเธอ” เธอตอบ ผมยิ้ม กล่าวขอบคุณเธอและขี่ม้ากลับออกไปอีกครั้ง 

ในที่สุดผมพบกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง เป็นชายสี่คนกำลังสำรวจสุสานของโบสถ์และพูดกับกล้อง ผมยื่นมือออกไปแตะกล้องและดูดเอาพลังงานออกจากกล้องจนมีพลังมากพอ พวกเขาตกใจและเริ่มหาสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเห็นตัวเองและม้าเรืองแสงสีฟ้า พวกเขาร้องลั่นจากนั้นยืนตัวแข็งด้วยความกลัวสิ่งที่เห็นตรงหน้า พอลองคิดถึงวันนั้น ผมว่าผมคงน่ากลัวน่าดู ผีเด็กที่จมูกมีรอยหิมะกัดเป็นแผลนั่งบนหลังม้าผ่านสุสาน เป็นใครเห็นก็ต้องกลัวกันทั้งนั้น

ในที่สุดหนึ่งในชายสี่คนรวบรวมความกล้าแล้วถามเสียงสั่น “เธอ.. เธอเป็นใคร?” 

“ผมตายแล้ว” ผมตอบ “แต่คุณช่วยชีวิตผมได้ มาเถอะ” ผมผงกหัวไปทางโบสถ์แล้วเริ่มออกวิ่งนำหน้า พวกเขาลังเลอยู่สองสามวินาทีก่อนเริ่มวิ่งตามมาข้างหลัง

ผมนำพวกเขาเข้าไปในโบสถ์แล้วปล่อยให้พวกเขาเดินสำรวจจนหนึ่งในพวกเขาตะโกนขึ้น “ให้ตายสิ นั่นเด็กคนนั้นนี่นา!”

“ช่วยผมที ตอนนี้อาจจะดูเหมือนตายแล้ว แต่คุณอาจะช่วยชีวิตผมไว้ได้ถ้าพาผมไปส่งโรงพยาบาล” ผมบอกเขา

พวกเขาอุ้มผมแล้ววิ่งกลับออกไปข้างนอก สองสามนาทีต่อมา ผมรู้สึกเหมือนร่างตัวเองกำลังจางหายไป และพอพยายามลืมตาที่มีน้ำแข็งคลุมอยู่ ก็เห็นว่าผมนอนอยู่ที่เบาะหลังของรถระหว่างชายสองคนที่ผมคุยด้วยในสุสานเมื่อครู่ ทั้งร่างของผมปวดระบม หนึ่งในพวกเขาสังเกตเห็นว่าผมฟื้น

“เฮ้ยพวกเรา! น้องยังไม่ตาย!!” ชายทั้งสี่คนหันมามองผม ชายคนที่นั่งข้างผมพูดขึ้น “น้องทนน่าดูเลยนะ รอดมาได้ไงเนี่ย? มีชายขี่ม้าหน้าคล้ายๆ น้องนำทางพวกพี่ไปที่โบสถ์ พี่นึกว่าเราจะไม่รอดเสียแล้ว รอก่อนนะ เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว” 

“ไม่มีใครเชื่อเราแน่ว่าเราไปเจอน้องเพราะผีเด็กขี่ม้า!” ชายคนขับรถพูดน้ำเสียงตื่นเต้น

“แต่มันเรื่องจริงว่ะ!” อีกคนหนึ่งพูดขึ้น

ผมหัวเราะอย่างไร้เรี่ยวแรงผ่านปอดเย็นเป็นน้ำแข็ง “แต่ผมเชื่อนะ ผมน่ากลัวน่าดูเลยใช่มั้ยล่ะ?” ผมพูดก่อนรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกก่อนหมดสติไปอีกครั้ง

…...............................


ผมปิดสมุดบันทึกของปู่แล้ววางมันบนฝาโลงก่อนหย่อนลงในหลุม มันเป็นเวลากว่าห้าสิบปีมาแล้วที่ปู่ของผมฟื้นคืนชีพกลับมาจากความตาย ถ้าเขาโกหกเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงตอนปู่ขอให้ฝังศพเขาที่สุสานทรุดโทรมด้านนอกโบสถ์เก่าร้างผุพังแห่งนี้

มันดูเหมือนในเรื่องเล่าในสมุดบันทึกทุกอย่าง ผมเองไม่ค่อยอยากเชื่อเรื่องเล่าของปู่เท่าไหร่นัก ใครจะอยากเชื่อล่ะ มันอาจจะเป็นแค่ความฝันของปู่ขณะเขากำลังใกล้ตายตอนอายุสิบขวบก็เป็นได้

อยู่ๆ ความคิดผมต้องหยุดชะงักเมื่อได้เห็นเด็กชายคนหนึ่ง น่าจะอายุไม่เกินสิบขวบ เดินออกหางจากหินบนหลุมศพ เขาสวมแจ็คเก็ตเก่าซอมซ่อ กางเกงวอร์มสกปรก เสื้อยืด และรองเท้าผ้าใบเก่าๆ ที่เชือกผูกรองเท้าหายไปข้างหนึ่ง เขาผอมและดูเหมือนอดอาหาร มีหิมะคลุมเปลือกตาและผิวซีด ใบหน้าของเขาเป็นสีแดงเข้มและปลายนิ้วสีเทาม่วง ผมสั้นสีน้ำตาลของเขายุ่งเหยิงและเดินสองมือล้วงกระเป๋ามุ่งหน้าไปหาเด็กผู้หญิงผมบลอนด์ที่ลอยอยู่ราวกับว่ากำลังอยู่ใต้น้ำ

ม้า สุนัข แกะ หมูป่าและหมูตัวเมียยืนล้อมรอบพวกเขา และทั้งหมดดูโปร่งแสงออกสีฟ้า

เด็กชายโอบกอดเด็กหญิงผู้ที่ดูเหมือนจะประหลาดใจและร้องไห้สะอีกสะอื้น และถึงแม้ผมจะได้ยินไม่ชัดเจนนัก แต่ผมว่าผมได้ยินเด็กชายกระซิบข้างหูเด็กหญิง.. 

“ฉันขอโทษที่ปล่อยให้เธอรอมาแสนนาน ตอนนี้เธอพักได้แล้วนะ เอลลี่....”


จบบริบูรณ์

------------------------------

จากใจนักแปล: เรื่องนี้แอดอ่านครั้งแรกแล้วถึงกับร้องไห้เลย เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กถูกทำร้ายร่างกายเป็นอะไรที่แอดทนไม่ค่อยได้ คือมันอ่านแล้วเศร้าจริงๆ สงสารมากๆ ยิ่งตอนจบยิ่งเศร้า เป็นเรื่องแรกที่แปลเรื่องที่ไม่น่ากลัว แต่ซึ้งๆ เศร้าๆ ยังไงบอกไม่ถูก อ่านกี่ครั้งก็เศร้า 😔 ขอให้เพื่อนๆ อ่านเพื่อความบันเทิงนะคะ แอดไม่มีเจตนาทำให้เศร้าน้าา ^^ แค่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ เลยอยากให้อ่านกัน แอดพยายามที่สุดแล้วที่จะแปลออกมาให้เห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด หวังว่าคงไม่ทำให้เจ้าของเรื่องผิดหวัง ^^" ไว้เจอกันเรื่องต่อไปค่าาา





แสดงความคิดเห็น

5 ความคิดเห็น

  1. หืออออ เรากลับคิดว่าตอนจบนี่มันสวยงามออกนะ ถ้าเทียบกับตอนจบของเรื่องพนักงานดูแลโรงภาพยนต์

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

      ลบ
    2. ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ ^^

      ลบ
  2. ผีก็ไม่ได้น่ากลัวเสมอไปละนะ หลายๆเรื่อง คนยังน่ากลัวกว่า
    เรื่องนี้เขียนดีมากเลยครับ ขอบคุณที่เอามาแปลให้อ่านนะครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ ยังมีอีกหลายเรื่องกำลังแปลเลยค่ะ อยากให้ติดตามอ่านนะคะ ^^

      ลบ