ผมเคยเป็นจนท.​รับแจ้งเหตุ​ ​911 นี่เป็นเหตุการณ์​ที่ทำผมกลัวที่สุดในชีวิต​ (P. 1)



"911 มีเหตุด่วนอะไรครับผม?" ผมรับสายหลังเสียงกริ่งครั้งแรก​

"ฉันเพิ่งเห็นเรื่องน่ากลัวมา" เสียงผู้หญิงสั่นอย่างหวาดกลัวดังมาตามสาย​" เพื่อนบ้านฉัน.. เธออยู่ข้างนอก.. และมีเลือดออกเต็มไปหมด" 

"เลือดออกจากส่วนไหนครับ?" ผมถาม

"จากทุกที่เลย!" เธอตะโกน​ ผมพยายามถามที่เกิดเหตุแต่เธอตื่นตระหนกเอาแต่ร้องขอให้ช่วย​ ผมรอจนเธอใจเย็นลง​ในหูได้ยินเสียงกรีดร้องหลายเสียงในพื้นหลัง

" เรากำลังส่งเจ้าหน้าที่ไปแล้วครับ" ผมพูด​ "ถือสายรอกับผมก่อนนะ​ ทุกอย่างจะต้องโอเค" 

"ไม่" เสียงปลายสายกระซิบ​แทบฟังไม่ได้​ศัพท์​เพราะเสียงกรีดร้องในพื้นหลัง​ "ทุกอย่างไม่โอเค.. "

\*\*\*

ไม่กี่นาทีต่อมา​ ผมชงกาแฟอยู่ในห้องเบรคพยายามหยุดมือตัวเองไม่ให้สั่น​ ผมหอบหายใจ​ ตื่นตระหนก​อย่างไม่เคยรู้สึก​มาก่อน​ ก่อนสายจะตัดไป​มันฟังดูเหมือนทั้งถนนเต็มไปด้วยคนเป็นโรคพิษสุนัขบ้า​รายล้อมรอบบ้านของคนที่โทรเข้ามา​ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่วิ่งไปตรวจสอบพื้นที่นั้นวิทยุเข้ามา

"จนท. รับแจ้ง คุณอยู่ที่นั่นหรือเปล่า? นี่เชีย" 

"ผมอยู่นี่" ผมพูด​ "เกิดอะไรขึ้น?" 

"ผมขับมาที่ถนนแคนซัสจากถนนยูเนี่ยน​ และถนนโล่งไม่มีใครเลยมีแต่รอยเลือด​ คุณมีเลขที่บ้านของคนที่แจ้งเหตุเข้ามาหรือเปล่า?" 

"ไม่มี"​ ผมพูด​ "มีการพังประตู​หน้าต่าง​แถวนั้นหรือเปล่า​ ผมได้ยินเสียงโกลาหลน่าดูตอนรับแจ้ง​ เธอบอกว่าถูกเพื่อนบ้านทำร้าย" จนท.​เชียปรึกษากับคู่หูสักพักก่อนตอบ

"เราเพิ่งได้ยินเสียงร้องและเสียงกระจกแตก​ ฟังดูเหมือนดังมาจากบ้านเลขที่​ 67 บนถนนแคนซัส​ ส่งกำลังเสริมมาที" 

ผมรีบวิ่งกลับไปที่ห้องทำงาน​ เรามีระบบใหม่ที่สตรีมสดบทสนทนารับแจ้งให้รถตำรวจในพื้นที่ได้ฟังโดยตรง​ และสตรีมไลฟ์จากรถตำรวจกลับมาที่สถานี​ ผมเปิดมันฟังอย่างตั้งใจ

"ยกมือขึ้นแล้วเดินออกมา!" ผมได้ยินเสียงคู่หูของเชียตะโกน​ 

"ให้ตายสิ เธอต้องการหมอ" เขาพูด​ "เธอมีเลือดออกหู​ ตา​ และจมูก​ และอ้วกเป็นเลือด​ นายคิดว่าเธอป่วยเป็นอะไร?" 

"คุณครับ​ หยุดอยู่ตรงนั้นก่อน!" เจ้าหน้าที่เชียตะโกน​ "อย่าเข้ามาใกล้มากกว่านี้!" จากนั้นมีเสียงสบถและตะโกนตามด้วยเสียงปืน​ ผมปล่อยถ้วยกาแฟในมือตกพื้น​ ได้ยินเสียงมันแตกกระจายรู้สึกได้ถึงน้ำร้อนบนเท้า​ แต่ผมมัวแต่ฟังเสียงปลายสายด้วยความหวาดกลัว

บ้าเอ้ย​ เธอกัดฉัน!" คู่หูของจนท.​ เชียพูด​ "เธอกัดนิ้วโป้งฉันขาด!" ผมได้ยินเสียงปืนอีกเป็นชุด​ จากนั้นเสียงปิดประตูรถ

" ไปเร็ว!​เร็วเข้า!" หนึ่งในเจ้าหน้าที่ตะโกน​ 

"ให้ตายสิ นั่นมันตัวอะไรกัน?" เสียงจนท.​เชียดังมาตามสายวิทยุ​ "เจ้าหน้าที่ดิสแพทช์​ นี่จนท.​เชีย​ ตอนนี้ทางแยกถนนแคนซัสและถนนเมนถูกบล็อก​ มันดูเหมือน.. ผมรู้ว่านี่จะฟังดูบ้าบอ​ แต่มันดูเหมือนกองศพทับถมกันเป็นร้อย บางทีมันอาจจะเป็นแค่หุ่น​ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน​ แต่ร่างส่วนมากดูเหมือนมีเลือดออก​ เราต้องการกำลังเสริมตอนนี้เลย​ และหน่วยแพทย์​ฉุกเฉิน​ด้วย​ จนท.​อินกราแฮมนิ้วขาด​ตอนเราถูกล้อมด้วยกลุ่มคนบ้าเมื่อกี้​ ผมเองถูกกัดที่น่อง.. ที่นี่มีบางอย่างผิดปกติ"

"นี่เจ้าหน้าที่รับแจ้ง" ผมพูด "กำลังเสริมกำลังไปแล้ว" ใจผมอยากจะบอกเขาให้หนีออกมา ให้ขับรถกลับออกมาเสีย แต่ผมไม่ใช่ตำรวจ ผมไม่มีอำนาจตัดสินตรงนี้ 

อีกไม่กี่นาทีก็จะหมดเวลาทำงานผมแล้ว และเจ้าหน้าที่รับแจ้งอีกคนเพิ่งเดินเข้ามาในออฟฟิศตอนผมวางสาย เธอมองผม เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

"คุณต้องไม่เชื่อแน่" ผมพูดและเล่าทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นให้เธอฟัง ปากเธออ้าค้าง ตาเบิกกว้างด้วยความกลัว และพอผมเล่าจบ ผมยังไม่ได้ข่าวจากทั้งเจ้าหน้าที่เชียและกำลังเสริมที่ส่งออกไป ผมเครียดน่าดูและอยากออกไปจากที่นี่ ครอบครัวผมอาศัยอยู่ไม่ไกลนัก ถ้ามีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นในเมือง ผมก็อยากจะอยู่กับพวกเขาเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาปลอดภัย ลูกชายผมเพิ่งจะอายุครบเจ็ดขวบ และผมรู้ว่าเขาป้องกันตัวเองในสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้แน่ 

พอเธอลงนั่งประจำที่ อีกสายแจ้งเหตุโทรเข้ามาและผมถือโอกาสเดินออกจากที่ทำงาน

การขับรถกลับบ้านใช้เวลาแค่ห้านาที ข้อนิ้วผมซีดขาวไปหมดตอนจับพวงมาลัยแน่นขณะเร่งความเร็วรถผ่านถนนตรงหน้า ไม่มีรถรามากนักตอนนี้และดูเหมือนไม่มีอะไรผิดที่ผิดทาง

จนกระทั่งผมเลี้ยวเข้าถนนที่นำไปสู่บ้านผม มีเพื่อนบ้านซึ่งเป็นชายชราที่อาศัยอยู่กับหลานสาวอายุหกปียืนอยู่กลางถนน ตาจ้องไปที่ดวงอาทิตย์เหนือหัวปากอ้าค้าง ผมมองเห็นมีดเล่มยาวในมือขวาของพวกเขาทั้งคู่

ผมกระทืบเบรคห่างพวกเขาออกไปแค่ไม่กี่ฟุต แต่พวกเขาไม่ขยับเขยื้อน ผมลองบีบแตรแต่พวกเขาเอาแต่จ้องท้องฟ้าตาไม่กระพริบ

พอมองดีๆ ผมถึงเห็นว่ามือขวาของพวกเขาขยับไปมาเฉือนร่างตัวเองซ้ำๆ เลือดเริ่มไหลโกรกจากบาดแผลลงมาเลอะถนนใต้เท้าทำผมเกือบอ้วกออกมา ผมถอยรถแล้วขับขึ้นสนามหน้าบ้านเพื่อขับผ่านพวกเขา ขณะขับผ่านพวกเขา ผมเลื่อนกระจกลง

"คุณเจมส์ คุณทำบ้าอะไรอยู่น่ะ!" ผมตะโกน "หยุดเดี๋ยวนี้เลย!" ผมคิดจะลงจากรถเพื่อพยายามช่วยเขาแต่ดูจากสภาพจิตใจพวกเขาแล้ว ถ้าผมลงไป เขาอาจพยายามแทงผมก็ได้

ตอนนั้นเอง อยู่ๆ คุณเจมส์หันมามองผมและหยุดแกว่งมีดในมือ เด็กตัวน้อยแสยะยิ้มให้ผม โบกมือถือมีดเปื้อนเลือดไปมา ทำเอาหยดเลือดกระเด็นใส่รถผมและชุดเดรสของเธอเอง

"มัน.. เธอบอกให้ผมกรีดตัวเอง เพื่อให้ไวรัสเข้าตัว" คุณเจมส์พูด และหลานสาวของเขาจ้องไปข้างหน้าเหมือนตุ๊กตาราวกับว่าพวกเขาไม่รู้สึกเจ็บ ผมมองเห็นเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อบนขา หน้าท้อง และหน้าอกของพวกเขา ขณะพวกเขายืนอยู่ตรงนั้นใช้มือกรีดตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกแรงและเร็วขึ้นเรื่อยๆ คุณเจมส์ล้มลงไปกองกับพื้น เลือดไหลโกรกท่วมตัว และหลานสาวของเขายืนแกว่งไปมาอยู่ตรงนั้น ริมฝีปากเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงจากการเสียเลือด

"เธอจะมาหาคุณด้วย" เธอพูด "เธออยากเล่นกับคุณ เธออยากให้คุณเปิดและปล่อยให้ไวรัสเข้าตัว.. พวกมันมองหาสถานที่นุ่มและอุ่น พวกมันเย็นยะเยือก ถ้าคุณให้มันได้เข้าไป คุณจะไม่รู้สึกเศร้าอีกเลย" ผมหันไปมองและเห็นศพเด็กยืนอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ในสวนหลังบ้านของเพื่อนบ้านผม ผิวของเธอขาวซีดและปากถูกเย็บปิด รอยเย็บสีดำน่าเกลียดปะปนกับริมฝีปากม่วงอมเขียว ผมสีดำห้อยลงมาเลยไหล่ล้อมกรอบใบหน้าขณะเธอจ้องตรงมาที่ผม ดวงตาของเธอขาวขุ่นเหมือนต้อกระจก มีหนอนนับไม่ถ้วนดิ้นไปมาทั่วร่างกัดกินผิวหนังที่แขนและขาของเธอ

"รู้สึกถึงลิ้นเปียกๆ ของพวกมันหรือเปล่า? ความตายอยากเข้าไปในร่างเจ้า" เสียงต่ำแหบพร่าของเธอดังในหัวผม ริมฝีปากเธอไม่ขยับและดวงตายังจ้องผมนิ่ง ผมนั่งตาค้างในรถรู้สึกเหมือนถูกสะกดจิต จากนั้นรู้สึกได้ถึงลิ้นเปียกๆ ที่ขยับใกล้หลังและหน้าอกผมเข้ามาทุกที ทั้งรถเต็มไปด้วยกลิ่นกำมะถันและเนื้อเน่า และดวงตาผมเริ่มพร่ามัวขณะเสียงของเธอเข้าครอบงำจิตใจและผมหมดสติไปในที่สุด

\*\*\*


"พ่อฮะ" ผมรู้สึกมือเล็กๆ ดันที่หน้าอกและเปิดตามอง ลืมไปว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่พักหนึ่งก่อนสะดุ้งลุกขึ้นนั่งใจเต้นแรงกวาดตามองไปรอบๆ มองหาศพเด็กหญิง "เค้าไปแล้วล่ะพ่อ ผมไล่เธอไปแล้ว อย่างน้อยก็ในตอนนี้" ผมก้มลงมองลูกอย่างแปลกใจ

"แอนโทนี่" ผมกระซิบขณะมองลูก รู้สึกปวดหัวตุบๆ "ลูกไล่ไอ้สิ่งนั้นไปได้ยังไงกัน?" ผมถาม

ลูกผมยักไหล่ "บางครั้งผมทำเรื่องแปลกๆ ได้" เขาพูด "อย่างวันเกิดผมเมื่อปีก่อน จำได้มั้ยฮะ?" ผมจำวันนั้นได้ดี เราจ้างตัวตลกมาโยนล้อและเล่นกลสารพัดให้ลูกผมและเพื่อนๆ ของเขาได้ดู ลูกผมบอกว่าเขาเองก็โยนของได้และเขาอยากจะโชว์ให้ตัวตลกดู

เขาวิ่งเข้าไปในบ้าน คว้ามีดสองสามเล่มแล้วโยนมันขึ้นไปในอากาศ มีดพวกนั้นเคลื่อนไหวช้าลงขณะลอยขึ้นเหนือหัวของเขาเหมือนกดปุ่มสโลโมชั่น และแอนโทนี่คว้ารับมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นโยนกลับขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง

ตัวตลกถามผม "เขาทำแบบนั้นได้ไงน่ะ?" ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันและแค่ยืนงงอยู่ตรงนั้น พอผมเรียกชื่อเขา มีดทั้งหมดต่างตกลงมาที่พื้น

"เธอจิตแข็ง และผมรู้สึกได้ถึงจิตของเธอ มันเย็นชาเหมือนเวลาเรากินไอติมแล้วมันเย็นขึ้นสมอง แต่ผมกันเธอเอาไว้หลังผนัง" เขาชี้ไปที่สวนหลังบ้านที่ตอนนี้ศพเด็กผู้หญิงยืนอยู่ "และผมกันเธอเอาไว้ที่นั่นฮะพ่อ" ตอนนั้นเองผมฉุกคิดได้ว่าลูกผมไม่ได้พูดถึง "ผนัง" จริงๆ แต่เขาหมายถึงผนังที่จิตของเขาสร้างขึ้นในใจ ผมพยักหน้า

"เธอพยายามจะเอาพ่อไป ผมรู้สึกได้ถึงคำพูดจากติตเธอไปยังจิตพ่อ ผมได้ยินทุกอย่างที่เธอพูด และเธอแสดงบางอย่างให้ผมเห็น บางอย่างที่เลวร้ายเอามากๆ จากที่ที่เธอมา เธอบอกที่ที่เธอจากมา ถนนทุกสายทำจากกระดูกเด็กเหมือนผม และว่าเด็กอย่างเธอจะถูกเย็บปากเพื่อให้พวกเขาไม่ต้องพึ่งพาการพูดด้วยปากอีกต่อไป พวกเขาใช้จิตแทน ที่นั่นมี "เจ้า" บ้าบอบางอย่างควบคุมอยู่ เป็นเจ้าที่อยู่ใกล้สายน้ำสีเงิน เธอให้ผมได้เห็นเจ้าองค์นั้น และผมรู้สึกได้ว่ามันมองมาที่ผม มันเหมือนแมลงมองมาที่ผม แมลงที่มีสมองมหึมาและดวงตาสีดำสนิทน่ากลัว" แอนโทนี่ตัวสั่น "นั่นมันเจ้าประเภทไหนกันฮะพ่อ?"

"ประเภทที่เราไม่อยากจะเจอน่ะ" ผมพูดพลางลูบหัวลูก "พระเจ้าที่พวกเราเชื่อมีแต่ความรักและแสงสว่างเท่านั้น อะไรก็ตามที่ศพเด็กผู้หญิงนั่นบูชาไม่ใช่พระเจ้าแน่" 

แอนโทนี่มองขึ้นมาที่ผมอย่างแน่วแน่ "ผมไม่เข้าใจเรื่องไวรัสอะไรนั่น เกิดอะไรขึ้นฮะ? เราจะพากันป่วยกันหมดหรือเปล่า?" เขาถาม ดูบอบบางและปกป้องตัวเองไม่ได้ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์

"พ่อก็ไม่รู้ว่ามันพูดถึงอะไร แต่พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ตอนนี้เลย พ่อว่าเราจะไม่เป็นไรถ้าออกไปจากเมมืองนี้ได้ เท่าที่รู้ ดูเหมือนเมืองนี้เกิดโรคระบาดบางอย่างที่ทำให้คนกลายเป็นบ้า--"

ตอนนั้นเอง มีเสียงรถแล่นผ่านไปพร้อมไฟไหม้ลามออกมาจากหน้าต่างที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ผมได้กลิ่นยางไหม้ โลหะร้อน และเนื้อย่าง ซึ่งเป็นส่วนผสมของกลิ่นที่น่านะอิดสะเอียน คนขับขับชนต้นไม้แล้วบินทะลุกระจกหน้ารถออกมากระแทกร่างที่ถูกไฟคลอกเข้ากับต้นไม้ด้วยความเร็วเหลือเชื่อ ผมหันไปหาแอนโทนี่ "แม่ของลูกอยู่ไหน?"

"อยู่ในบ้านฮะ" เขาพูด ผมหยิบกุญแจออกจากช่องเสียบกุญแจในรถ จับมือลูกแล้ววิ่งเข้าบ้าน ผมมองหาศพเด็กหญิงคนนั้นแต่เธอยังไม่โผล่มาตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าพลังของแอนโทนี่แข็งแกร่งพอที่จะกันเธอออกไปได้ตลอดกาลหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าไอ้ศพเด็กนั่นคงแค่ถูกกันออกไปชั่วคราวและคงกำลังเฝ้ามองพวกเราอยู่ไม่ห่าง ความคิดนั้นทำเอาผมขนลุกซู่

"มากาเรต!" ผมเรียกหาภรรยาเมื่อก้าวผ่านประตูบ้านเข้ามาได้ "แม่!" แอนโทนี่ตะโกนสำทับ ผมเดินนำลูกไปที่ห้องครัว หยิบมีดเล่มเล็กแต่คมให้ลูก และอีกเล่มที่ใหญ่กว่าให้ตัวเอง "อย่าเผลอแทงตัวเองเข้าให้ล่ะ" ผมพูด "ใช้มันเฉพาะถ้าจำเป็นจริงๆ เท่านั้นนะ" เขาพยักหน้ารับ ตอนนั้นเอง มีเสียงกรีดร้องดังมาจากชั้นบน ผมจับมือลูกวิ่ง ใจไม่อยากแยกจากลูกแม้แต่วินาทีเดียว พวกเราวิ่งขึ้นชั้นบนและผมเตะประตูห้องนอนใหญ่เปิด

ที่นั่น ผมเห็นบาทหลวงลานาแกนซึ่งเป็นบาทหลวงประจำครอบครัวเรากำลังเอาปืนจ่อหัวมากาเรต เขาดูป่วยมีเลือดออกจากหูและตา เศษเนื้อและเลือดไหลโกรกออกจากปากเปิดกว้าง ผมยกมือขึ้น

"คุณพ่อลานาแกน" ผมพูด "วางปืนลงก่อน คุณไม่สบายนะ" 

เขาหายใจฟืดฟาดเสียงดังแรงเร็ว ตาสีเทาเริ่มกลายเป็นสีขุ่นเหมือนนม เขาทำให้ผมนึกถึงศพเด็กผู้หญิงคนนั้น แม้แต่วิธีที่เขาจ้องพวกเราก็ดูคล้ายกันเอามากๆ สายตาที่ดูเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน ซาดิสและหิวเลือด

ผมก้าวไปข้างหน้า ตาเขาจ้องเขม็งมาที่ผม มือที่ถือปืนสั่นอย่างแรง

"ฟังนะคุณพ่อ นี่ไม่ใช่คุณ" ผมพูด "คุณ..." ผมยังพูดไม่จบประโยคตอนลูกชายตัวเล็กนิดเดียวของผมวิ่งผ่านประตูที่สองของห้องนอนเข้ามาด้วยความกล้าหาญ มีดเล่มเล็กในมือเงื้อมสูงเหนือหัวเหมือนนักรบ

"ปล่อยแม่ผม!" แอนโทนี่ตะโกนก่อนใช้มีดแทงเข้าที่ท้องของบาทหลวง บาทหลวงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดและผมวิ่งเข้าหาคว้ามือที่ถือปืนของเขาที่หันไปจะยิงลูกผม จากนั้นดันมือนั้นขึ้นเพดานด้วยแรงทั้งหมดที่มีและปืนลั่นขึ้นบน ผมหยิบมีดแล้วเสียบมันเข้าตาขวาของบาทหลวงเต็มแรง อีกตาที่เหลือของเขาเบิกกว้างด้วยความแปลกใจจากนั้นทรุดร่างลงกับพื้นก่อนแน่นิ่งไป ใจผมเต้นแรงเร็ว ผมคว้าปืนจากมือเขาเสียบเข้ากระเป๋าหลังของตัวเอง

"เราออกไปจากไอ้เมืองบ้านี่กันเถอะ" ผมพูดกับภรรยาที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้และกอดผมไว้แน่น พวกเราหยิบขวดน้ำและอาหารกระป๋องใส่ถุงกลาสติก จากนั้นพากันวิ่งออกไปข้างนอก

ผมขับออกจากที่นั่นเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เข้าไปในทุ่งนาและป่าชายเขตเมืองอย่างรวดเร็ว แต่ตอนจะข้ามไปยังเมืองถัดไป กลายเป็นว่าถนนถูกปิด

ร่างเป็นร้อยวางกองทับถมกันเต็มแนวถนนลามไปตามข้างถนน ไม่มีทางที่จะขับผ่านไปได้ ครึ่งหนึ่งของร่างพวกนั้นเปลือยเปล่า ที่เหลือใส่เสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ย ร่างกายบิดเบี้ยวและร้องครางด้วยความเจ็บปวด เลือดไหลโกรกออกปาก

ผมพยายามโทรขอความช่วยเหลือแต่โทรยังไงก็โทรไม่ติด ผมถอนใจอย่างสิ้นหวัง คว้าปืนและส่งมีดให้ภรรยา จากนั้นเราสามคนเปิดประตูออกจากรถแล้วเริ่มออกเดิน...

-- โปรดติดตามตอนต่อไป --

************

Credit: https://www.reddit.com/r/nosleep/comments/11wsvvs/i_was_a_911_operator_i_still_remember_the_call/




แสดงความคิดเห็น

1 ความคิดเห็น