ตอนที่ 2:
ต่อมา นูเนซเล่าถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงวัยกลางคนเคร่งศาสนาชื่อ โดโลเรส
โดโลเรสอาศัยอยู่บนชั้นสองของอะพาร์ตเมนต์พริมโรส เธอเป็นคนใจดี แต่ค่อนข้างเอาใจยาก ตำรวจต้องถูกเรียกไปที่บ้านเล็กๆ ของเธออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง
บ้างก็เพราะเธอได้ยินเสียงแปลกๆ หลังเที่ยงคืน บ้างก็เพราะเห็นชายสองคนที่ดูน่าสงสัยกำลังคุยกันในลานจอดรถ หรือไม่ก็เพราะลูกชายของเธอออกไปข้างนอกแล้วกลับเกินเวลาเคอร์ฟิวไปห้านาที เธอโทรแจ้งตำรวจบ่อยครั้งจนจนท. จำเสียงเธอได้แล้วนูเนซเคยถูกส่งไปเพื่อปลอบเธอหลายครั้ง เขาเชื่อว่า โดโลเรสแค่เหงาและต้องการใครสักคนเป็นเพื่อนคุย และเธอก็พูดมากเสียด้วย เธอพูดถึงอดีตที่เคยดื่มเหล้าหนักจนหมดสติ พูดถึงสามีที่คืนหนึ่งหนีหายไปตอนคืนพร้อมกับกล่องรองเท้าเต็มไปด้วยเงินสดที่เธอเก็บสะสมไว้เพื่อส่งลูกเรียนมหาลัย
เธอบอกนูเนซว่าเธอเชื่อในพระเจ้า และหวังจริงๆ ว่าลูกสาวขี้ยาของเธอจะกลับมาบ้าน เธอได้ยินมาว่าลูกสาวของเธออยู่ที่เบเคอร์สฟิลด์กับแฟนใหม่และกำลังตั้งท้องได้สามเดือน แต่ตอนนี้ เวลาสองปีล่วงเลยไปแล้ว เบอร์โทรของลูกสาวถูกตัดและจดหมายของเธอก็ถูกส่งกลับ โดโลเรสทำได้เพียงสวดภาวนาขอให้หลานของเธอปลอดภัย
เธอพูดถึง "ไมเคิล" ลูกชายของเธอ เขาอายุสิบเจ็ดปี เป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสุดท้าย เธอยืนยันว่าไมเคิลเป็นเด็กดีแต่เธอไม่ชอบเพื่อนๆ ของเขาที่มักพาเขาไปในทางเสื่อมเสีย ช่วงหลังๆ มานี้ เขาไม่ค่อยรับโทรศัพท์ตอนเธอโทรหาและกลับบ้านดึก เริ่มฉุนเฉียวอารมณ์ไม่ดี และเสื้อผ้ามีกลิ่นกัญชา เขาอ้างว่ากลิ่นกัญชามาจากรถของเพื่อน แต่โดโลเรสกลัวว่าลูกอาจจะติดยา
"ฉันจะเสียเขาไปอีกคนไม่ได้" เธอร่ำไห้กับนูเนซ ขณะที่เขาพยายามอธิบายให้เธอเข้าใจว่าการที่รถคันหนึ่งจอดในลานจอดรถนานๆ ไม่ได้หมายความว่าจะมีการซื้อขายยาเกิดขึ้น "ไมกี้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเหลืออยู่"
วันหนึ่งในเดือนกันยายน นูเนซและรัสตี้ถูกส่งไปที่อพาร์ทเมนต์ของโดโลเรสอีกครั้ง คราวนี้เขารู้สึกหงุดหงิดมากกว่ากังวล – เช้าวันนี้งานค่อนข้างยุ่งและยากลำบาก และเขาไม่มีอารมณ์จะจดบันทึกเกี่ยวกับ "เสียงระเบิด" (ที่จริงๆ แล้วเป็นเสียงของเพื่อนบ้านห้องข้างบนทำหม้อและฝาหม้อหล่นพื้น) ที่โดโลเรสได้ยิน หรือต้องพยักหน้าเออออไปกับเรื่องราวอันยืดยาวเกี่ยวกับหัวอกคนเป็นแม่ของเธอ
แต่ตามที่จนท.รับแจ้งบอกมา คราวนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ โดโลเรสที่ปกติจะพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจและออกจะเหมือนดูถูกคนอื่น ตอนนี้กลับร้องไห้ฟูมฟายเรื่องลูกชาย เขาบาดเจ็บ ทีมแพทย์ฉุกเฉินจะมาถึงในอีกสิบห้านาที
โดโลเรสเปิดประตูพร้อมเสียงร้องโหยหวน
ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเปื้อนคราบน้ำตา ดวงตาของเธอแดงก่ำ ผมชี้ยุ่งเหยิงตรงที่ที่เธอดึงมันด้วยความเครียด เธอสะอื้นหนักจนแทบพูดไม่รู้เรื่อง
"ไมเคิล…" เธอหอบหายใจพลางชี้ไปที่ประตูที่ปิดอยู่ "ไมเคิลเขา… เขา…" เธอหงายหน้าขึ้นฟ้าแล้วกรีดร้องราวกับสัตว์ป่าบาดเจ็บ ก่อนจะทรุดลงกับพื้นซุกหน้าเปื้อนน้ำตาลงกับเข่า
นูเนซบอกผมว่า แค่คิดถึงเหตุการณ์นั้น มันเพียงพอที่จะทำให้เขาน้ำตาคลอ ความเจ็บปวดและสิ้นหวังทั้งหมดในโลกดูเหมือนถูกรวบรวมอยู่ในเสียงกรีดร้องนั้น
รัสตี้พยายามปลอบโดโลเรส ขณะที่นูเนซที่ตอนนี้มือแตะอยู่ที่ปืนของเขา ค่อยๆ เปิดประตู
ทันทีที่ประตูเปิด กลิ่นอับราวกับห้องใต้ดินหลังพายุฝนผสมกับกลิ่นหวานๆ ของอะไรบางอย่างคล้ายพอทพุรีที่แม่เขาเคยเก็บไว้ในชามโชยมากระทบจมูกอย่างจัง เขากลั้นหายใจแล้วหายใจทางปาก ก่อนเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟ
ห้องของเด็กวัยรุ่น ที่มุมห้องด้านไกลมีฟูกที่นอนกับผ้าห่มที่ถูกถีบออกไปข้างๆ บนฟูกนั้น มีชายหนุ่มอายุไม่น่าเกินสิบแปดนั่งพิงผนังอยู่ หัวของเขาห้อยต่ำ ดวงตาสีฟ้าซีดเหลืองลืมค้าง เขารูปร่างผอมแห้งคล้ายคนเป็นโรคขาดอาหาร จ้ำเลือดสีม่วงคล้ำจับตัวอยู่ใต้ผิวซีดขาว ผมแดงบางๆ ชี้ยุ่งเหยิง รอยเข็มฉีดยาติดเชื้อเป็นจุดๆ มีหนองไหลออกมา ข้อต่อแข็งเกร็ง ลิ้นบวมจนนูนออกมานอกปาก
นูเนซเข่าทรุด เขาอาจจะหลุดปากร้องออกมาด้วย..
เขาตัวสั่นเทิ้มขณะค่อยๆ คุกเข่าลงข้างเด็กหนุ่ม
ดูจากแก้มซูบตอบไร้สีเลือดและแขนขาอ่อนปวกเปียกเป็นสีม่วงคล้ำ เขาคาดว่าเด็กคนนี้คงตายมาแล้วหลายชั่วโมงแล้วถ้าไม่ใช่ทั้งวันจากการใช้ยาเกินขนาด
เขาสวมถุงมือยาง กลั้นหายใจ แล้วเอื้อมมือไปที่ใบหน้าของศพ ดวงตาเงาวาวเหมือนตาตุ๊กตาไร้ชีวิตชวนให้ขนลุก ถ้าเขาปิดตาของเด็กคนนี้ลง บางทีอาการเวียนหัวของเขาอาจจะหยุดลง มือที่สั่นจะหยุดสั่น และเขาอาจตั้งสติได้และกลับมาทำหน้าที่ให้เหมาะกับที่เป็นตำรวจได้อีกครั้ง แทนที่จะทำตัวเป็นไอ้ขี้ขลาดตาขา--
มือหนึ่งคว้าหมับเข้าที่แขนของเขา
มือเย็นเฉียบกำแน่นราวกับคีมเหล็ก
ต้องใช้เวลาอยู่ชั่ววินาทีกว่าสมองของเขาจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
นิ้วซีดของร่างไร้ลมหายใจของไมเคิล.. ไมเคิลที่ตายไปแล้วจนร่างเน่าเปื่อย.. กำลังกำข้อมือของเขาไว้แน่น
นูเนซผงะถอยหลัง ไมเคิลลุกขึ้นนั่ง ลำตัวพับงอบิดหันมาหา ข้อต่อที่แข็งเกร็งกระตุกเป็นจังหวะแปลกๆ ผิดธรรมชาติ ดวงตาขุ่นมัวไร้แววชีวิตจ้องตรงไปข้างหน้า จากนั้นขากรรไกรของเขาขยับ ลิ้นบวมตุ่ยกระตุกในปากแห้งผาก
และโดยไม่สนใจตรรกะและกายวิภาคใดๆ เขาเปิดปากพูด
"เจ้าหน้าที่นูเนซ" เสียงเรียบเย็นเหมือนเอเลี่ยนล้อเลียนเสียงพูดมนุษย์ "ตึกนี่จะมอดไหม้ และแกจะมอดไหม้ไปพร้อมกับมันด้วย"
นูเนซคำรามฮึดฮัด ทั้งเตะทั้งดิ้น พยายามกระชากมือออกจากกรงเล็บของอะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ เขาใช้มือยันพื้นลุกขึ้นแล้วเซไปที่ประตู บิดลูกบิดแล้วถลาเข้าไปในห้องนั่งเล่นก่อนกระแทกประตูปิด
โดโลเรสนั่งขดร้องไห้เงียบๆ อยู่บนโซฟา รัสตี้ยืนอยู่ตรงทางเข้ากวักมือเรียกทีมแพทย์ที่กำลังเข็นเปลมาทางโถงทางเดิน
"เด็กคนนั้น…ไม่ใช่…" นูเนซพึมพำ รัสตี้หันมามองจากนั้นหันขวับไปมองโถงทางเดิน "เฮ้ย! บ้าอะไรวะ"
ทีมแพทย์คนหนึ่งเดินเบียดผ่านเธอเข้ามา และที่ตามหลังเขามาติดๆ คือเด็กหนุ่มผมแดง ตาสีฟ้า สวมกางเกงสีกากีและเสื้อสเวตเชิ้ตของ NWA สีหน้าดูสับสนเล็กน้อย
นั่นคือไมเคิล... เขายังไม่ตาย
โดโลเรสร้องลั่น เธอผวาเข้ากอดลูกชายซบหน้ากับไหล่เขา พากันล้มลงบนพรมเก่าคร่ำคร่าด้วยกัน เธอกอดเขาแน่นจนแทบหายใจไม่ออก รัสตี้หันมามองหน้านูเนซขณะทีมแพทย์กลอกตามองบน "เด็กป่วยใกล้ตายเดินขึ้นบันไดมาเองเนี่ยนะ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่าบอกนะว่าเขามีฝาแฝด" ทีมแพทย์พูดประชด
นูเนซกัดฟัน พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่บ้าไปเสียก่อน เขามองไปที่ไมเคิล—ไมเคิลที่มีเลือดมีเนื้อ ไมเคิลที่หายใจอยู่ในอ้อมแขนของแม่
"มีศพอยู่ในนั้น" นูเนซพูด
เขาพยายามหาคำอธิบายให้กับฉากสยองขวัญที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ขณะเอื้อมมือขวาจับลูกบิดประตูเพื่อดึงตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ความปวดแปลบรุนแรงแล่นปราดไปทั่วแขน เขาทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง
ทีมแพทย์เดินผ่านเขาไปเปิดประตู ชะโงกเข้าไปดู แล้วแค่นหัวเราะ
"ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นสักหน่อย"
นูเนซกัดฟันยันตัวขึ้นยืน เขากับรัสตี้มองเข้าไปในห้องของไมเคิล ไม่มีอะไรเลย ที่นอนว่างเปล่า มีเพียงผ้าห่มและผ้าปูที่นอนที่กองกันยุ่งเหยิง ไม่มีเลือด ไม่มีร่องรอยใดๆ แค่ห้องนอนธรรมดาของวัยรุ่นคนหนึ่ง
เขาเดินสำรวจไปรอบห้องเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง สะบัดผ้าห่ม คุ้ยตะกร้าเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว เปิดประตูตู้เสื้อผ้าออกจนสุด—ว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยของศพเน่าเปื่อยที่เพิ่งขู่เขาเรื่องไฟไหม้เมื่อครู่ เขาสูดหายใจเข้าปอด กลิ่นอับเจือด้วยกลิ่นพอทพุรียังคงลอยค้างในอากาศ แต่ตอนนี้จางลงแล้วทั้งที่หน้าต่างปิดสนิท..
โดโลเรส ซึ่งตอนนี้มีความสุขสุดขีด สรุปเอาว่าเธอคงแค่จินตนาการไปเองว่าเห็นศพลูกชายในห้อง เธอไม่ได้ใช้ยา—ไม่มีทาง! เธอไม่แตะต้องยาเสพติดมา 12 ปีแล้ว—แต่ความเครียดสะสมและการนอนไม่พออาจทำให้เธอเห็นภาพหลอน เธอเป็นกังวลมาตลอดว่าลูกชายคนเดียวอาจเดินซ้ำรอยผิดพลาดในวัยเยาว์ของเธอเอง รวมกับอากาศร้อนและมลพิษในเมือง—ใคร ๆ ก็คงมองเห็นอะไรแปลกๆ ได้ทั้งนั้น
"ผมเห็นเหมือนที่เธอเห็น" นูเนซพูด "ไมเคิลนอนตายอยู่บนที่นอน"
ได้ยินแบบนั้น โดโลเรสขมวดคิ้ว "พูดอะไรน่ะคุณตำรวจ นอนตายบนเตียงอะไร? ฉันเจอเขาแขวนคอตายในตู้เสื้อผ้าต่างหาก"
นูเนซรีบออกจากห้องเธอแทบจะทันที
รัสตี้บอกว่ามันเป็นเรื่องแปลก แต่ก็นั่นแหละ โดโลเรสอาจจะเพ้อเจ้อไปเอง ส่วนนูเนซก็อาจจะถูกชักนำโดยคำพูดของเธอจนจินตนาการไปเองว่าเห็นศพ—ถือเป็นการถูกชักจูงทางความคิด
"ไม่รู้สิ" เธอบอกเขา "ถ้าคุณเริ่มเห็นอะไรแปลกๆ แบบนี้ บางทีคุณควรพักสักหน่อย ไปคุยกับจิตแพทย์ของกรมดูไหม"
นูเนซปฏิเสธ—จะมีประโยชน์อะไรที่จะให้คนอื่นมาบอกว่าเขาสติไม่ดี แต่สุดท้ายเขาก็ต้องหยุดพักอยู่ดีเพราะเช้าวันต่อมา เขาตื่นขึ้นมาพร้อมข้อมือขวาบวมเป่ง กระดูกเคลื่อนและร้าว
"ฉันคงล้มทับมันนั่นแหละ" เขาโกหก
ไม่มีใครสนใจหรือสังเกตเห็นรอยช้ำเป็นรอยนิ้วสีม่วงเข้มรอบข้อมือเขา—รอยที่ดูเหมือนรอยมือบีบแน่นด้วยพลังมหาศาล
**(โปรดติดตามตอนต่อไป)**
*Credit: Nicky_xx
0 ความคิดเห็น