คำเตือน: เรื่องนี้มีตัวละครหลายตัว ต้องตั้งใจอ่านดีๆ ไม่งั้นอาจงงได้ค่ะ
มีเรื่องราวในอดีตที่คุณจะหาอ่านจากที่ไหนไม่ได้ทั้งนั้น มันเป็นความจริงที่คุณจะหาฟังได้แต่ในหมู่บ้านของผมเท่านั้น
"เหล่าแม่มดแห่งเพนเดล" น่ะเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเขาไม่ได้ทำผิดอะไร แต่มีแม่มดตัวจริงตนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในป่าทึบแห่งโบว์แลนด์
ผมชื่อโทมัส และผมโตมาในบาร์เลย์ซึ่งเป็นหมู่บ้านอังกฤษเล็กๆ ในเมืองเพนเดล พวกคุณส่วนมากไม่รู้จักที่นี่ และอาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องการแขวนคอแห่งเพนเดล แต่ถึงคุณจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการตัดสินโทษเหล่าแม่มดที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 คุณก็คงไม่เชื่อเรื่องโชคลางไร้สาระพวกนั้น คุณอาจแค่คิดว่าการแขวนคอแม่มดเป็นเรื่องของยุคสมัยเก่าไร้อารยธรรม ซึ่งคุณอาจจะคิดไม่ผิดนัก เพราะเหตุการณ์นั้นคร่าชีวิตหญิงบริสุทธิ์ไปไม่รู้ตั้งกี่คนเพราะถูกกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานหรือมูลความจริงอะไรเลย
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าแม่มดไม่มีตัวตนอยู่จริง..
“ระวังนะแซมมี่! เดี๋ยวแม่มดเพนเดลก็มาเอาเธอไปอยู่ด้วยหรอก! ผมตะโกนพลางหัวเราะขณะน้องสาวอายุ 4 ขวบของผมสะดุดกบล้มลงใกล้บ่อน้ำของหมู่บ้าน
ตอนนั้นผมอายุ 6 ขวบและจะไม่มีวันลืมสายตาของคุณตาที่มองผมในวันนั้น ดวงตาของคุณตาเป็นส่วนผสมของความหวาดกลัวและโมโหสุดขีด เขาคว้าข้อมือผมอย่างแรง
“อย่าล้อเล่นเรื่องนั้นเด็ดขาด!” ตาตะคอก
“ตาครับ ผมเจ็บ!” ผมร้อง
ตอนนั้นซาแมนธาน้องสาวผมหยุดเล่นแล้ว เราทั้งคู่ยืนสั่นอยู่หน้าคุณตาที่ยืนอยู่เหนือพวกเรา
“ฉันทำเธอเจ็บงั้นเหรอ? ก็ดี! เธอจะได้จำเอาไว้เป็นบทเรียน ที่เพนเดลนี่มีแม่มดอยู่แค่คนเดียว มันไม่เคยเหนื่อย แถมไม่เคยตาย ฉันไม่อยากได้ยินพวกเธอพูดถึงเรื่องนี้อีก เข้าใจมั้ย!” ตาผมดุเสียงดัง
ตอนนี้น้องผมร้องไห้สะอึกสะอื้น ส่วนผมเองพยายามสุดกำลังที่จะสวมบทพี่ชายใจกล้า ผมเกลียดตา เขาชอบดุพวกเรา แต่ผมรู้ว่าตาไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์มากขนาดจะแต่งเรื่องอะไรขึ้นมาหลอกพวกเราได้ และเขาก็ไม่ใช่คนขี้โกหกด้วย
“ปล่อยผมนะ!” ผมตะโกน
ตาคำรามเสียงดังก่อนปล่อยมือ ผมเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพ่อกับแม่ และพวกเราไม่เคยต้องไปเยี่ยมตาวันเสาร์อาทิตย์อีกเลย
“เราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน ลูกจะเลี่ยงคุณตาไปตลอดไม่ได้หรอกนะ” แม่ผมพูดเรียบๆ
ผมจำได้ว่าคิดท้าทายอยู่ในใจ “คอยดูก็แล้วกัน”
พ่อดึงผมไปคุยด้วยเงียบๆ ตอนแม่เดินออกจากห้องไปแล้ว “ฟังนะ พ่อเองก็เกลียดตาเขาเท่าๆ กันกับลูกนั่นละ เขาไม่เป็นมิตรเอาเลย อย่าไปบอกแม่นะว่าพ่อพูดแบบนี้” พ่อกระซิบ
ผมพ่นลมออกจมูก จากนั้นสีหน้าของพ่อเปลี่ยนไป ผมไม่เคยเห็นพ่อจริงจังมากเท่านี้มาก่อน “แต่.. พ่อไม่อยากให้ลูกพูดเรื่องแม่มดนั่นอีก ตกลงมั้ย? เรื่องบางอย่างเราเงียบไว้จะดีกว่า อย่าไปขุดคุ้ยมันขึ้นมาเลย”
และผมเชื่อพ่อ ผมไม่เคยพูดถึงแม่มดแห่งเพนเดลอีกเลยมาตลอดแปดปี แน่นอนว่าผมโตมาในเมืองเพนเดล มันยากที่จะเลี่ยงบทสนทนาทั่วไปเรื่องแม่มดโดยเฉพาะช่วงวันฮาโลวีน ผมสังเกตเห็นว่าผู้ใหญ่ในเมืองมักจะตัวแข็งทื่อทุกครั้งที่มีใครพูดเรื่องแม่มดขึ้นมา
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผมไปนอนค้างบ้านเพื่อนกับเพื่อนสนิทอีกสี่คน คงจะเพราะพวกเรายังเด็กและโง่เขลาพอจะกล้าพูดเรื่องนี้ ด้วยอายุเพิ่งจะ 14 ปี ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมชาติที่พวกเราจะชอบพูดเรื่องที่ถูกห้ามไม่ให้พูด
มันเป็นช่วงเวลาที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย
มันเป็นช่วงสุดสัปดาห์เดือนธันวาคมปี 2009 เป็นฤดูหนาวที่หนาวมากที่สุดในรอบสิบปี ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพวกเราถึงเลือกที่จะนอนค้างกันบนบ้านต้นไม้ในสภาพอากาศแบบนั้น ผมเดาเอาว่ามันคงเป็นวิธีแสดงออกว่าพวกเราใจกล้า ว่าพวกเราไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว
เรานั่งเรียงกันเป็นวงกลมแล้วผลัดกันเล่าเรื่องผีโดยมีแสงไฟฉายสลัววางอยู่กลางวง
จุดเริ่มต้นของความน่ากลัวเกิดขึ้นตอนไมเคิลเริ่มเล่าเรื่องของเขา…
“มีป่าทึบอยู่แห่งหนึ่ง…”
“ให้ตายสิ เรื่องนี้อีกแล้วเหรอวะ?” แจ็คพูดเบื่อๆ
“อะไรเหรอ?” เจอเรตถาม
“อย่าไปขอให้มันเล่าเลย” แจ็คถอนใจ
“ฉันไม่รู้ว่านายจะกล้าฟังเรื่องนี้รึเปล่านะเจอเรต” ไมเคิลหัวเราะขำๆ
ตอนนั้นแบรดเลย์นอนกรนครอกไปแล้ว และผมอิจฉามันนะ ผมเคยคิดเหมือนกันว่าถ้าตอนนั้นผมหลับไปแล้วและไม่ต้องได้ยินเรื่องเล่าของไมเคิล ชีวิตของผมจะแตกต่างไปจากที่เป็นอยู่ตอนนี้ขนาดไหน? จะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า?
“แล้วนายละทอม อยากฟังเรื่องนี้มั้ย?” ไมเคิลถามผม
ผมยักไหล่ “จะอะไรก็ช่างเหอะ เริ่มเล่าได้แล้ว”
แจ็คพยักหน้า เจอเรตนอนคว่ำเอามือเท้าคาง แจ็คเลื่อนปัดหน้าจอมือถือไปเรื่อยอย่างไม่ค่อยสนใจนัก ส่วนผมนอนอุ่นอยู่ในถุงนอน
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่มดคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเพนเดล มัน-”ไมเคิลเริ่มเล่า
“ไม่เอาน่า พวกเราทุกคนรู้เรื่องเหล่าแม่มดในเพนเดลอยู่แล้วนี่นา” เจอเรตขัดขึ้น
ไมเคิลจ้องเจอเรต “ฉันพูดว่า “เหล่าแม่มด” เหรอเจ้างั่ง? เปล่าสักหน่อย ฉันพูดว่า “แม่มดคนหนึ่ง” ต่างหาก หุบปากแล้วก็ฟังต่อเถอะน่า ในปี 1612 มีผู้หญิง 12 คนถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและถูกลงโทษ แต่พวกเขาไม่เคยทำความผิดอะไรเลย พวกเรารู้เรื่องนี้ดีใช่มั้ยล่ะ?”
“ก็เพราะแม่มดไม่มีอยู่จริงไง ไอ้ขี้โม้” แจ็คพึมพำ ตายังมองที่จอมือถือพลางพิมพ์ไปพลาง
ไมเคิลหัวเราะเสียงแหลม “นั่นไม่ใช่เหตุผลสักหน่อยโว้ย คนพวกนั้นมันแขวนคอผิดตัวต่างหาก ที่เพนเดลมีแม่มดอยู่แค่คนเดียว และมันยังคงอยู่ข้างนอกนั่น ในป่าลึกแห่งโบว์แลนด์
“เดี๋ยวก่อนๆ” เจอเรตพูดพลางลุกขึ้นนั่ง “ปี 1612 เหรอ งั้นแม่มดนั่นก็อายุ 396 ปีแล้วดิ่”
“มันแก่กว่านั่นเยอะ” ไมเคิลตอบ
“ตาฉันก็เคยพูดถึงเรื่องนี้” ผมพูดในที่สุดพลางกลืนก้อนแข็งๆ ในคอ
“ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลยวะ?” เจอเรตหัวเราะ “โครตคูลเลย น่าฟังกว่าเรื่องดั้งเดิมเสียอีก!”
“เรื่องดั้งเดิมมันไม่ใช่เรื่องเล่า มันเป็นประวัติศาสตร์ต่างหาก มีหลายคนถูกแขวนคอตายนะ เคารพคนตายด้วย” ผมพูด
“อู้ยยยยย” แจ็คล้อเลียนพลางหัวเราะคิกคัก “เออว่ะเจอเรต เคารพคนตายเค้าด้วยดิ่ ไอ้ตูดหมึก!”
“จริงๆ นะ ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลยวะ” เจอเรตถามงงๆ
“นายไม่เคยได้ยินก็เพราะนายไม่ได้โตมาในเมืองบาร์เลย์นี้” แจ็คอธิบาย ตายังจ้องมือถือดูเหมือนไม่สนใจในบทสนทนาตรงหน้าเอาเลย “ไมเคิลแม่งบอกฉันตลอดแหละ ฉันย้ายมาจากเมืองคลิเตโร เลยเป็นแค่คนนอก เหมือนกับนายไง”
“หมายความว่าไงวะ?” เจอเรตถาม
“ทุกคนที่เกิดและโตที่นี่จะบอกลูกหลายของพวกเขาเรื่องโง่ๆ นี่” ผมอธิบายพลางยักไหล่ “มันเป็นประเพณีหรืออะไรสักอย่างนี่ล่ะ ฉันเองก็โครตอยากจะเรื่องน่ากลัวนี่ให้ลูกๆ ในอนาคตฉันฟังเลย”
“มีส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ที่พวกนายยังไม่เคยได้ยิน” ไมเคิลพูดต่อ
“เออๆ งั้นก็ได้โปรดเล่าให้ฟังหน่อย” แจ็คแดกดัน ถอนหายใจพลางมองบน
“ฉันรู้ว่าแม่มดตัวจริงอยู่ที่ไหน” ไมเคิลยิ้มอย่างมีเลศนัย
ทั้งห้องเงียบกริบ เจอเรตอ้าปากค้างจ้องไมเคิลตาไม่กระพริบ ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงเชื่อไมเคิล แต่ผมเชื่อนะ มันเหมือนเป็นลางสังหรอะไรสักอย่าง ผมนั่งตัวแข็งพยายามบังคับตัวเองไม่ให้อ้วกออกมา แต่ที่น่าแปลกใจที่สุดคือปฏิกิริยาของแจ็ค..
เขาวางมือถือลงกับพื้น..
“ไอ้ขี้โม้” แจ็คพูด “จะบอกพวกเรามั้ยล่ะว่ามันอยู่ที่ไหนกันแน่ เราจะได้พิสูจน์ดูไงว่านายมันไอ้ขี้โกหก”
“มันไม่ใช่เรื่องโกหก” ไมเคิลพูดเบาๆ “แม่มดนั่นอาศัยอยู่ในบ้านกลางป่าโบว์แลนด์ ฉันรู้ด้วยว่าอยู่ที่ไหน”
“แล้วนายรู้ได้ไง?” แจ็คถาม
“มันเป็นความลับของบาร์เลย์มานานแสนนานแล้ว” ไมเคิลอธิบาย “นั่นเป็นเหตุผลที่มีแต่คนที่เกิดที่นี่ที่กลัวขี้ขึ้นสมองเวลาพูดถึงแม่มดแห่งเพนเดล มีแต่พวกเราที่รู้ว่าแม่มดตนนั้นมีอยู่จริง”
“ตกลง โอเค แต่นายรู้ได้ยังไงว่าจะไปหาเธอได้ที่ไหน?” ผมถาม
“นายรู้จักคุณเฮนเดอร์สัน ครูประวัติศาสตร์คนเก่าของเรามั้ย?” ไมเคิลถาม
เราสามคนพยักหน้า
“ฉันไปเจอครูเค้าในผับเมื่อวันพุธที่แล้ว นั่งร้องไห้อยู่ที่มุมห้อง ครูไปที่ผับบ่อย” ไมเคิลพูด “ตั้งแต่มิลลี่หายตัวไปเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย”
“เฮ้ย.. หยุดเลย พวกเราทนฟังเรื่องไร้สาระอื่นได้ แต่ฉันจะไม่ยอมให้นายเอาเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมาปั้นเป็นเรื่องผีหรอกนะ นั่นมันโครตไม่โอเค เราทุกคนรู้จักมิลลี่ เธอเป็นเพื่อนเรา” แจ็คขัดขึ้น
ไมเคิลทุบพื้นเสียงดัง “มันไม่ใช่เรื่องเล่าโว้ย! ให้ฉันพูดให้จบก่อนได้หรือเปล่า? ก็เพราะเรื่องนี้ฉันถีงได้ชวนพวกนายมานอนค้างด้วยกัน ฉันไปได้ยินความลับมา ครูเฮนเดอร์สันเล่าให้ฟัง ริคท้าให้ฉันไปคุยกับครูเขาวันนั้น”
ริคเป็นพี่ชายของไมเคิล
“แล้วครูเฮนเดอร์สันพูดว่าไงบ้าง?” เจอเรตถามพลางกัดเล็บอย่างตื่นเต้น
“ฉันถามครูว่าเขาโอเคหรือเปล่า บอกเขาว่าผมเองก็คิดถึงมิลลี่เหมือนกัน” ไมเคิลเล่าต่อ “ฉันไม่คิดว่าครูเขาจะเปิดอกเล่าให้ฉันฟัง เขาบอกฉันว่าเขากับมิลลี่ออกไปเดินป่าที่โบว์แลนด์ด้วยกัน แต่พวกเขาไม่ได้ไปเพื่อจะเดินป่า พวกเขาไปตามเพื่อตามหาบางอย่าง.. ตามหาแม่มดแห่งเพนเดล”
ทุกคนตั้งใจฟัง
“คืองี้ ตระกูลครูเฮนเดอร์สันเขาอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคนแล้ว ตั้งแต่ช่วงปี 1600 ครอบครัวเขาบอกชาวบ้านของบาร์เลย์อยู่ให้ห่างจากป่าโบว์แลนด์เข้าไว้ คุณวิลเลียม เฮนเดอร์สันเป็นคนเดียวที่เคยเห็นแม่มดตัวจริงและชาวบ้านก็เชื่อฟังนะ
ทีนี้พอครูเฮนเดอร์สันของเราได้ยินเรื่องนี้จากคุณวิลเลี่ยมพ่อของเขา ครูก็เอาแต่ครุ่นคิดเรื่องนี้มาตลอด นั่นเป็นเพราะคุณวิลเลี่ยมบอกครูเฮนเดอร์สันบางอย่างที่เขาไม่เคยบอกชาวบ้านคนอื่น มันเป็นความลับของครอบครัวมานับหลายร้อยปี ้เขาบอกความลับที่เขากลัวเกินกว่าจะบอกคนอื่นกับครูเฮนเดอร์สันลูกของเขา ว่าแม่มดตัวจริงอยู่ที่ไหน และครูเฮนเดอร์สันอยากพิสูจน์ความจริงก็เลยเริ่มหาข้อมูลมาเรื่อย จนมิลลี่ไปเจอสมุดบันทึกข้อมูลเหล่านั้นและอยากไปกับพ่อของเธอด้วย"
“แล้วครูเขาก็ปล่อยให้มิลลี่ตามไปด้วยงั้นเหรอ?” ผมถาม
“เขาบอกว่าเขาตื่นเต้น เขาอยากแชร์การผจญภัยนี้กับลูกสาว เขาไม่เชื่อคำเตือนของพ่อเขาและไม่คิดว่าจะมีอันตรายอะไร” ไมเคิลตอบ “เขามองตาฉันเขม็งก่อนจะบอกว่าพวกเขาหาบ้านหลังนั้นเจอที่ใจกลางป่าโบว์แลนด์ พวกเขาหาแม่มดตัวจริงพบ และมันเอาตัวมิลลี่ไป”
“เอาตัวมิลลี่ไปเหรอ?” เจอเรตถามเสียงสั่น
“ฉันพยายามถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาไม่ยอมบอกแล้วไล่ฉันกลับ” ไมเคิลตอบ
“ให้ตายสิ เรื่องของนายน่ากลัวจริงๆ ด้วย แต่นายน่าจะคิดตอนจบให้มันดีกว่านี้หน่อยนะ” แจ็คถอนใจก่อนทรุดตัวลงนอนในถุงนอน
“จริงด้วย” เจอเรตเห็นด้วยพลางคลานเข้าถุงนอน “ฉันว่าฉันนอนดีกว่า ก่อนจะฉี่ราดใส่ถุงนอน”
เจอเรตกับแจ็คเงียบไป แต่ไมเคิลกับผมยังคงนั่งอยู่ในถุงนอน เขามองผมตรงๆ มันเป็นสายตาที่ผมเคยเห็นจากทั้งพ่อและตาของผม สายตาแห่งความหวาดกลัวจับใจ
“มันไม่ใช่แค่เรื่องเล่า” ไมเคิลกระซิบก่อนล้มตัวลงนอนแล้วปิดไฟตะเกียง
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นกะทันหันด้วยน้ำหนักของอะไรบางอย่างบนอก พอเปิดตามอง ปรากฎว่าเป็นเป้ของผมเอง
“อะไรกันวะเนี่ย เราจะไปเดินป่ากันเหรอ?” แบรดลีย์ถามก่อนโยนเป้ออกจากอกตัวเอง
ไมเคิลแต่งตัวเตรียมพร้อมสำหรับเดินป่า ยืนรออยู่ที่ประตู
เมื่อคืนนายหลับไม่รู้เรื่อง เลยอดฟังเรื่องแปลกพิลึกเลย” เจอเรตหัวเราะ ยังคงนั่งอยู่ในถุงนอนพลางขยี้ตาง่วงๆ
“ใช่ แม่มดแห่งเพนเดลไง” แจ็คพูด
“อ๋อ เรื่องผีเก่าแก่นั่นน่ะเหรอ” แบรดลีย์พูด
“มันเรื่องจริงนะ” ไมเคิลพูด “และพวกเราจะไปตามหาเธอกัน”
“หาใคร?” แบรดลีย์ถามงงๆ
“หามิลลี่” ไมเคิลตอบ
ตอนนั้นทุกคนปิดปากเงียบสนิท
“ไมเคิล อย่าพูดไร้สาระน่า! มิลลี่ตายไปแล้วนะ” แจ็คตะคอก
“คุณเฮนเดอร์สันบอกฉันทุกอย่างที่ฉันเล่าให้พวกนายฟังเมื่อคืน ฉันไม่แคร์ว่าพวกนายจะเชื่อหรือเปล่า แต่ฉันรู้ว่าทอมเชื่อฉัน” ไมเคิลพูด
อยู่ๆ สายตาทุกคู่หันมามองผม ผมก้มมองเป้บนตัก “ฉันเชื่อนาย” ผมพูด “อย่างน้อยฉันก็เชื่อว่ามีบางอย่างเลวร้ายเกิดขึ้นกับมิลลี่ในป่านั่น แล้วทำไมพวกเราต้องไปที่นั่นกันด้วยล่ะ?”
“จริงด้วย แม่มดจะมีจริงหรือไม่จริงฉันก็ไม่อยากไปหรอก” แบรดลีย์พูด “ฉันไม่อยากเห็นศพหรืออะไรแบบนั้น”
“มิลลี่อาจจะยังอยู่ข้างนอกนั่น เธออาจจะยังไม่ตาย” ไมเคิลค้าน
ผมรู้ว่ามิลลี่ตายไปแล้วแน่แม้แต่ในตอนนั้น แต่ผมก็รู้ด้วยว่าไมเคิลรักมิลลี่ เขารักมิลลี่มาตลอด แต่บางทีนี่อาจไม่ใช่แค่การออกไปตามหามิลลี่ บางทีนี่อาจกลายเป็นเรื่องที่ไมเคิลเอาแต่คิดถึงไม่หยุด เขาอยากรู้อยากเห็น.. เขาอยากออกไปตามหาแม่มดตัวจริง
และตอนนั้นเองที่ผมคิดได้ว่าบางที.. นี่อาจเป็นสิ่งที่แม่มดตนนั้นต้องการ บางทีนี่อาจเป็นวิธีหาเหยื่อของมัน มันเข้าครอบงำความคิดคนแล้วล่อลวงพวกเขาให้ไปตามหามันในป่า ผมเองก็อยากบอกคุณนะว่าผมรู้คำตอบแน่ชัด แต่ผมไม่รู้
“ฉันไม่สนละ ไม่เอาด้วยเด็ดขาด เดินทางโดยปลอดภัยนะพวก” แบรดลีย์พูดแล้วเดินออกจากประตูไป
“ช่างเหอะ หมอนั่นอ้วนจะตาย ไปก็เป็นตัวถ่วงเปล่าๆ” ไมเคิลพูดห้วนๆ
“พ่อแม่ฉันไม่ยอมให้ไปแน่” ผมพูด
“หยุดเลย” ไมเคิลขัด “พ่อแม่ฉันโทรหาพ่อแม่นายเมื่อคืน พวกเขาอนุญาตว่ะ”
“แล้วเราจะไปที่ป่าโบว์แลนด์กันยังไง” แจ็คถาม “มันไกลอยู่นะ”
ตอนนั้นเองเราได้ยินเสียงริคตะโกนมาแต่ไกล “พร้อมกันหรือยังพวกเรา?”
พวกเรามองลงไปข้างล่างและเห็นริคยืนรออยู่พร้อมกุญแจรถในมือ ใจผมตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้ตัวว่าไม่มีทางหนีไปจากที่นี่ได้แล้ว
ตอนทุกคนเริ่มปีนลงบันไดจากบ้านต้นไม้ ผมจำได้ว่ามองไมเคิลด้วยน้ำตาคลอ ผมพยายามจะไม่ร้องไห้แต่พวกเรามองตากันและกัน ผมว่าผมเห็นสีหน้าขอโทษขอโพยของเขา ราวกับว่าเขาต้องมนต์แม่มดเข้าให้แล้วและจะไม่ยอมให้ผมกลับบ้านแน่ เพราะผมเป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจที่สุด
พวกเราพากันเดินขึ้นรถแวนของริคพี่ชายไมเคิล ในรถเต็มไปด้วยของกินและเครื่องมือตั้งแคมป์ครบครัน เราบอกลาพ่อแม่ของไมเคิลที่ยืนโบกมือให้พวกเราอยู่ที่สนามหน้าบ้าน ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้แล้ว และพ่อแม่พวกเราไว้ใจให้ริคกับสเตซี่แฟนสาวดูแลพวกเราตอนไปเดินป่า ตราบใดที่ริคจะขับรถพาพวกเรากลับก่อนหกโมงเย็นวันอาทิตย์
“พวกเธออยากไปโบว์แลนด์กันทำไมเหรอ? เล่นเกมอยู่บ้านไม่สนุกพอหรือไง?” สเตซี่ถาม
“พวกเราจะไปเดินป่ากัน” ไมเคิลตอบเงียบๆ ตามองออกไปนอกหน้าต่าง
“ฉันไม่เชื่อนายหรอก ไอ้ขี้โกหก” ริคพูดกับน้องชายพลางส่ายหน้า “ฉันรู้ว่านายจะไปตามหาแม่มด แบรดลีย์บอกฉัน”
ไมเคิลไม่พูดอะไรอีก ยังคงมองวิวสวยงามแปลกตานอกหน้าต่าง
“ฉันไม่สนหรอก ฉันกับสเตซี่ไม่ไปเดินป่าด้วยหรอกนะ เราจะตั้งแคมป์รออยู่ที่ชายป่า” ริคพูด
“ว่าไงนะ? แต่แม่บอกว่า…” ไมเคิลเริ่มพูด
“เออ ฉันรู้” ริคสวน “แต่ฉันไม่เอาด้วยหรอก ฉันกับสเตซี่จะตั้งแคมป์แล้วทำอาหารกันตอนพวกนายไปเดินป่า เพราะงั้นอย่าไปไกลนักล่ะ ฉันไม่อยากต้องออกไปตามหาพวกนายตอนมืดค่ำ”
ไมเคิลถอนใจ “ก็ได้ แค่อย่ากินเสบียงหมดก็แล้วกัน”
ริคหัวเราะถูกใจ
ผมจะไม่บอกคุณนะว่าพวกเราตั้งแคมป์กันที่ไหน ผมไม่อยากให้ใครตัดสินใจมาตามหาแม่มดอย่างพวกเราอีก อย่าทำเลย...
ริคอาจจะปากมากไปหน่อย แต่เขาก็ดูแลพวกเราดี พอพวกเราเข้าใกล้ป่าโบว์แลนด์ ริคเงียบอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนเขากลัวอะไรบางอย่าง อย่างว่านะ เขาเป็นชาวบาร์เลย์นี่นา
“ฉันให้เวลาพวกนายสองชั่วโมง” ริคพูดขณะเขากับสเตซี่เริ่มตั้งแคมป์
“สองชั่วโมงมันจะไปพออะไร?” ไมเคิลค้าน
“สองชั่วโมง!” ริคพูดซ้ำเสียงเข้ม
พวกเราไม่ได้ค้านริคอีก ทุกคนเกิดรู้สึกหวาดๆ อย่างบอกไม่ถูกตอนเริ่มออกเดินทาง
“แล้ว.. เราแค่เดินไปเข้าป่าไปเงี้ยะเหรอ?” แจ็คถาม
“ครูแฮนเดอร์สันบอกฉันแล้วว่าเราต้องไปที่ไหน” ไมเคิลตอบ
“โอเค เราเดินกลับตอนบ่ายสองโมงใช่มั้ย” เจอเรตถาม
“เราจะเดินกลับตอนเจอมิลลี่แล้ว” ไมเคิลตอบพลางเดินนำหน้า
“ไมเคิล พวกเราตามหามิลลี่ไม่เจอหรอกน่า” แจ็คพูดน้ำเสียงไม่พอใจ “พวกเราจะไม่พบอะไรทั้งนั้น เราเดินกลับตอนบ่ายสองตรง พอบ่ายสามก็ถึงแคมป์พอดี”
“จริงด้วย ถึงตอนนั้นฉันคงหิวน่าดู ยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเลยเนี่ย” เจอเรตพูด
“ฉันแพคทุกอย่างพร้อม” ไมเคิลพูด “มีมันฝรั่งทอดอยู่ในกระเป๋านาย กินซะแล้วก็หุบปากได้แล้ว”
นอกจากเสียงเคี้ยวของเจอเรต พวกเราทุกคนเดินกันเงียบๆ สักพัก หลังจากประมาณชั่วโมงนึงผ่านไป ผมมองนาฬิกา
“ตายละ บ่ายสองเจ็ดนาทีแล้ว มาเถอะไมเคิล เรากลับแคมป์กันดีกว่า กว่าจะไปถึงก็เกือบมืดแล้ว” ผมพูด
“เราเกือบไปถึงที่หมายแล้ว กลับแคมป์ตอนนี้ไม่ได้หรอก” ไมเคิลค้าน
“แต่ฉันจะกลับละ ช่างแม่ง” เจอเรตพูด ตอนนั้นผมเดินอยู่หลังสุดและเขากระแทกเท้าเดินผ่านผมไป
“ตามใจ ไอ้ไก่อ่อน” ไมเคิลตะคอกใส่
“ฉันก็จะกลับด้วย เลิกดื้อได้แล้วน่า กลับไปด้วยกันเหอะ” แจ็คพูดขึ้น
“ไม่ละ ฉันไปคนเดียวก็ได้” ไมเคิลพึมพำก่อนออกเดินต่อ
“เราตามไมเคิลไปดีกว่า” ผมถอนใจ
“ช่างมันเถอะ” แจ็คพูด “ฉันจะไม่ไปหลงป่าตอนมืดแล้วหรอกนะ นายเองก็ด้วย กลับไปด้วยกันเถอะ เดี๋ยวไมเคิลมันก็เดินกลับมาเองแหละ เขาไปไหนเองโดยไม่มีนายไม่ได้หรอกทอม”
ผมเดินตามเจอเรตกับแจ็คกลับแคมป์อย่างไม่เต็มใจนัก หวังว่าแจ็คจะพูดถูก ผมหวังว่าไมเคิลจะเปลี่ยนใจแล้วตามพวกเรากลับมา แต่ก็เปล่า พวกเราเริ่มรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกของป่าโบว์แลนด์ขณะท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มก่อนค่อยๆ มืดลงทุกที
แต่พอกลับมาถึงแคมป์ ที่ตั้งแคมป์ว่าเปล่า มีเต็นท์ทั้งอยู่พร้อมกองไฟ มีถุงมาร์ชเมลโลว์เปิดทิ้งไว้ บางส่วนเปื้อนโคลนอยู่ใกล้ๆ มีเก้าอี้แคมป์อยู่หกตัว และสองตัวเอียงกะเท่เร่อยู่ในโคลน
“ริคกับสเตซี่อยู่ไหน?” แจ็คถาม
ตอนนั้นเองพวกเราได้ยินเสียงหลอนกรีดร้องแสบแก้วหูในอากาศทำเอาต้องยกมือปิดหู
“อะไรวะเนี่ย?” เจอเรตละล่ำละลักเสียงสั่น
“เสียงเหมือนผู้หญิงนะ ต้องเป็นสเตซี่แน่ๆ” ผมพูด
“อ๋อ.. รู้แล้ว” แจ็คพูด ทำหน้าเหวอๆ เหมือนเพิ่งนึกอะไรออก
“อะไร” ผมถาม
“พวกนั้นล้อเล่นกับเรา! ไมเคิล ริค กับสเตซี่ หลอกให้เรากลัว! พวกเขาวางแผนทุกอย่าง!” แจ็คพูดก่อนตะโกน “เก่งนี่พวก! ตอนนี้ออกมาได้แล้ว!”
เงียบ..ไม่มีเสียงตอบใดๆ
“สงสัยอยากจะหลอกเราต่อมั้ง” เจอเรตพูดพลางกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
แจ็คชี้ไปที่ป่าสองสามเมตรห่างออกไป “คงแอบหัวเราะคิกคักกันอยู่หลังต้นไม้แถวโน้นแหละ” แจ็คพูด “ช่างเหอะ เราหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวพวกนั้นเบื่อก็คงกลับกันมาเองแหละ”
เจอเรตกับผมทำตามที่แจ็คบอก เรานั่งกันที่แคมป์แล้วย่างมาร์ชเมลโลว์ไปเรื่อยเปื่อย
“นี่มันหกโมงครึ่งแล้ว รอบตัวก็มืดไปหมดแถมยังหนาวขนาดนี้ ทำไมพวกนั้นยังอยากล้อพวกเราเล่นอยู่อีก?” เจอเรตถาม
“ไม่รู้สิ และก็ไม่สนด้วย สองพี่น้องนั่นมันไร้สาระ” แจ็คถอนใจ เอื้อมมือไปหยิบเตาไฟพกพาแล้วโยนมาที่ผม “ทำอะไรให้เรากินหน่อยดิ่เพื่อน”
ผมเหลือบตาขึ้นมองแจ็คหลังจากนั่งเงียบๆ อยู่นาน มีบางอย่างผิดธรรมชาติในบรรยากาศ ไฟจากกองไฟอุ่นก็จริง แต่ผมรู้สึกหนาวแปลกๆ อย่างอธิบายไม่ถูก ทุกอย่างดูผิดปกติไปหมด แต่ผมปัดมันออกไปจากความคิดแล้วทำตามที่แจ็คขอ ผมอยากอยู่ให้ห่างจากป่าทึบนั่น ผมกลัว.. ผมขี้ขลาด..และผมรู้ว่าผมเป็นพวกขี้ขลาดเพราะผมรู้ว่าเสียงกรีดร้องเมื่อกี้เป็นเรื่องจริง ผมรู้ว่าเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับสเตซี่ ริค และอาจจะไมเคิลด้วยอีกคน แต่ผมไม่อยากกลับเข้าไปในป่านั่น
ผมย่างไส้กรอกสองสามชิ้นแล้วเอาใส่กลางขนมปัง จากนั้นส่งต่อให้เจอเรตกับแจ็ค พวกเรากินกันเงียบๆ เพื่อนผมไม่พูดเป็นต่อยหอยเหมือนก่อน ผมรู้ว่าพวกเขาก็กลัว เพราะเริ่มจะไม่เชื่อแล้วว่านี่เป็นแค่เรื่องล้อกันเล่น
พอสองทุ่ม เจอเรตพูดขึ้น “มีบางอย่างผิดปกติ” เขาลุกจากเก้าอี้ “เราต้องไปตามหาพวกนั้น”
ผมดึงหูฟังออกจากหูและแจ็คละสายตาจากจอมือถือ
มันหนาวนะพวก แถมมืดอีก อยากจะไปที่นั่นจริงๆ เหรอ” แจ็คถาม
“พวกเขาไม่ได้ล้อเราเล่น” เจอเรตกระซิบเสียงสั่น “พวกเรานั่งรออยู่ที่นี่มาห้าชั่วโมงแล้ว พวกเขาไม่ได้ล้อเราเล่นแน่”
“ฉันว่าพวกเราน่าจะไปนอนกันก่อนแล้วรอจนเช้า พอมีแสงสว่างเราค่อยคิดกันว่าจะเอายังไงกันดี” แจ็คออกความเห็น
“แต่เจอเรตพูดถูกนะ นี่มันผิดปกติแล้ว” ผมพูด
“ให้ตายสิวะทอม แล้วนายอยากทำไงล่ะ?” แจ็คถาม
แจ็คกับเจอเรตมองหน้าผม ผมไม่อยากเดินฝ่าความมืดเข้าป่าไปช่วยชีวิตใครทั้งนั้น ผมอยากกลับบ้าน “ฉันว่าเราต้องโทรหาพ่อแม่พวกเราแล้วบอกพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น” ผมพูด
แจ็คกับเจอเรตถอนใจ
“คิดได้ไง ขืนทำแบบนั้นมีพวังพวกเราไม่มีวันได้ออกมาตั้งแคมป์กันเองอีกแน่” เจอเรตพูด
“แต่เพื่อนเราอาจจะตกอยู่ในอันตรายนะ เราต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง” ผมแย้ง
“ฉันเองก็ไม่อยากเข้าป่านะ แต่ก็ไม่อยากโทรหาพ่อกับแม่ว่ะ” แจ็คพูด “เอางี้ มีสองทาง หนึ่ง.. เราไปนอนแล้วรอจนเช้า หรือสอง.. เราออกไปตามหาพวกนั้นกันตอนนี้เลย”
“ฉันโหวตว่าเราออกตามหาพวกนั้นกัน” เจอเรตพูด
“ฉันโหวตว่าเราไปนอนกันก่อน ตานายแล้วทอม นายเอาไง” แจ็คพูด
ผมก้มมองกองไฟ หวังจริงๆ ว่าริค สเตซี่ กับไมเคิลจะพากันวิ่งยิ้มเผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ชอบใจที่แกล้งพวกเราได้ แต่ทุกอย่างเงียบสนิท ผมต้องตัดสินใจ และด้วยความโง่เขลา ผมเลือกที่จะออกไปตามหาพวกเขาในป่า
พวกเราออกเดินเข้าป่าลึกพร้อมไฟฉายในมือ แจ็คกับผมเคยออกแคมป์ด้วยกัน แต่พวกเราไม่พร้อมสำหรับภารกิจนี้ เราไม่รู้ทิศทางในป่าโบว์แลนด์ พวกเราไม่รู้วิธีตามหาคนหาย มีแค่ความกล้าโง่ๆ ของเด็กชายวัยสิบสี่
“สเตซี่! เป็นอะไรหรือเปล่า?” ผมตะโกน
“ริค! ไมเคิล!” เจอเรตตะโกน
มันเงียบมาก ไม่มีแม้แต่เสียงใบไม้ไหว คืนนี้หนาวนัก แต่ลมกลับนิ่งเอามากๆ
“นี่มันไร้ประโยชน์” เจอเรตพูด “พวกเรากลับ-”
“โอ้ไม่นะ!” แจ็คขัดขึ้นขณะยกขาข้างหนึ่งขึ้นจากกองอะไรบางอย่างตามด้วยเสียงแหยะเบาๆ “มันบ้าอะไรวะเนี่ย?”
เจอเรตกับผมเดินพากันเดินไปที่แจ็คที่ตอนนี้นั่งยองๆ หยิบสิ่งนั้นขึ้นมา ผมเอาไฟฉายส่องดู
“เฮ้ย!” เจอเรตร้องลั่น ตัวสั่นก่อนหันไปอ้วกข้างหลัง
แจ็ครีบโยนสิ่งที่อยู่ในมือทิ้ง มันคือหัวใจ.. หัวใจมนุษย์
“ไม่ๆๆๆๆๆๆ…” แจ็คร้อง
“เราต้องตามหาพวกนั้นให้เจอ” ผมพูด ตกใจนิดๆ กับน้ำเสียงสงบของตัวเอง บางทีผมอาจจะไม่ใช่คนตาขาวอย่างที่คิดก็ได้
ผมหวังจริงๆ ว่าเจอเรตกับแจ็คจะไม่ฟังผมและตัดสินใจเดินกลับแคมป์ แต่พวกเราเป็นเด็กผู้ชาย เด็กผู้ชายทำตามผู้นำ พอไมเคิลไม่อยู่ ดูเหมือนผมจะกลายเป็นผู้นำจำเป็น
พวกเราออกเดินต่อ
“นั่นอะไรน่ะ” เจอเรตกระซิบ
“อะไร?” ผมถามขณะพวกเราเดินผ่านป่าทึบมืดสนิท
“มีเสียงแปลกๆ ข้างหลังฉันว่ะ” เจอเรตกระซิบเสียงสั่น
ผมหยุดเดินแล้วหันไปมองพลางส่องไฟดูข้างหลัง หน้าผมซีดเป็นไก่ต้มก่อนร้องลั่น
มีร่างหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังแจ็ค ผู้หญิงหน้าซีดขาวคนหนึ่งเดินอยู่ระหว่างต้นไม้ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแม่มด
“ช่วยด้วย..” เสียงแหบพร่าพูดอย่างอ่อนแรง
นั่นไม่ใช่แม่มด แต่เป็นสเตซี่
พวกเรารีบวิ่งไปหาเธอและเจอเรตวิ่งไปทันรวบร่างของสเตซี่เอาไว้ทันก่อนเธอล้มกระแทกพื้น
“เกิดอะไรขึ้น” แจ็คถามคุกเข่าอยู่ข้างเธอ
ผมโล่งอกที่สเตซี่ไม่ได้มีช่องโหว่น่ากลัวที่หน้าอก แต่หัวใจนั่นมันของใครกัน? สเตซี่ดูท่าไม่ดีนัก หน้าเธอซีดสีออกเทาราวกับว่าไม่มีเลือดหลงเหลืออยู่ในร่างเธอเลยสักหยดเดียว
“ริค…” สเตซี่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ซบหน้ากับเสื้อเจอเรต “เขา.. เขาหายตัวไป”
“หมายความว่าไง เขาหายไปไหน?” ผมถาม
“ตอนนั้นพวกเราอยู่ที่แคมป์ เขาบอกว่าได้ยินอะไรบางอย่าง ฉันคิดว่าเขาล้อเล่น เขาบอกว่าเธอเรียกเขาและเขาต้องไปตามหาเธอ” สเตซี่พูด
“ใครกัน?” เจอเรตถาม
“มิลลี่” สเตซี่กระซิบ
“แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ตามริคมาเหรอ?” แจ็คถาม
สเตซี่พยักหน้า “ฉันเห็น.. บางอย่าง ฉัน.. ไม่รู้สิ แต่ได้โปรด.. พวกเราต้องออกไปจากที่นี่”
“พวกเราต้องหาริคกับไมเคิลให้เจอ” ผมพูด
สเตซี่ส่ายหน้า “ไม่ พวกเขาหายไปแล้ว”
“แต่พวกเราหาเธอพบ เราน่าจะหาพวกเขาให้พบด้วย” ผมแย้ง
เจอเรตกับแจ็คดูหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ตอนนั้นพวกเราเป็นแค่เด็ก
“ริค.. เขาแหวะอกตัวเอง..”
เราทั้งสี่คนเงียบสนิท ตอนนี้เจอเรตหน้าซีดกว่าสเตซี่เสียอีก เขาหันไปอ้วกอีกครั้ง
“แล้วพอแหวะอกตัวเองเสร็จ.. เขา.. เขาดึงเอาหัวใจออกมาเขวี้ยงทิ้งแล้วเดินเข้าป่าไป” สเตซี่พูดไปร้องไห้ไป
“ว่าไงนะ? แล้วศพเขาอยู่ไหน?” แจ็คถามงงๆ
“ฟังนะ เขาไม่ได้ตาย เขาแค่เดินเข้าป่าไปเฉยๆ” สเตซี่พูดเสียงสั่น
“ยังไงเราก็ยังต้องตามหาไมเคิล” ผมพูดเสียงเข้ม
“เธอไม่เห็นสิ่งที่ฉันเห็น!” สเตซี่ตะคอก
“ฉันอยากกลับบ้าน” เจอเรตร้องไห้และแจ็คกอดเขาแน่น
“ไมเคิลก็คงอยากกลับบ้านเหมือนกันนั่นแหละ” ผมพูด “ไม่ว่าสเตซี่จะเห็นอะไร ไมเคิลยังคงอยู่ข้างนอกนั่น เราต้องช่วยเขา”
แจ็คเดินมาทางผมสีหน้าบ่งบอกถึงความสะอิดสะเอียน “ริคตายแล้วนะทอม และไมเคิลก็ไม่อยู่ที่นี่ ฉันจะไม่เสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อเขาหรอก คืนนี้จะต้องไม่มีใครตายอีกเด็ดขาด!”
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับริคและสิ่งที่สเตซี่เห็นมันไม่ธรรมดานะ” ผมอธิบาย
ตอนนั้นเอง แจ็คผลักผมล้มกระแทกพื้น “นายหมายความว่าไงทอมมี่?!” แจ็คตะคอก
“ฉันรู้ว่านายไม่เชื่อ แต่..” ผมพูด
“แม่มดไม่มีอยู่จริงโว้ย! นี่พวกนายเสียสติกันไปแล้วหรือไง!” แจ็คแผดเสียงดังลั่น
ตอนนั้นเอง พวกเราได้ยินเสียงฮัมเพลงเบาๆ และทุกคนหยุดฟัง สเตซี่ดูตกใจ เอามือปาดน้ำตาแล้วมองพวกเราไปมาอย่างหวาดกลัว
“นั่นมิลลี่” เจอเรตกระซิบพลางร้องไห้ “นั่นเพลงโปรดของเธอ มิลลี่ฮัมเพลงนี้ตลอดในห้องเรียน”
“หมายความว่าไง ฉันไม่ได้ยินเสียงฮัมอะไรเลย! ได้โปรด.. พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ก่อนจะสายเกินไป” สเตซี่ร้องไห้
“ไมเคิล นั่นต้องเป็นไมคิลกำลังล้อพวกเราเล่นแน่ๆ” แจ็คพูดขึ้น
“นั่นไม่ใช่ไมเคิล!” สเตซี่ตะคอกเสียงแหลม “พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่!”
“ฉันเห็นด้วย ไปกันเถอะพวกเรา” แจ็คตอบ
“พวกนายพาสเตซี่กลับแคมป์ไปก่อน ฉันจะไปหาต่อเอง” ผมตัดสินใจ
“ไม่นะ อย่าเลย ฉันจะปล่อยให้เธอไปต่อคนเดียวได้ยังไงกัน?! ขอร้องล่ะ.. อย่าต้องให้ฉันไปกับพวกเธอด้วยเลยนะ เราต้องกลับไปที่แคมป์กันเดี๋ยวนี้เลย” สเตซี่อ้อนวอน
“มาเถอะทอม” แจ็ควางมือบนไหล่ผมแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “นายทำดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องตามหาต่อหรอก”
ผมมองแจ็คเพื่อนรักของผมด้วยน้ำตาคลอเบ้าแล้วพูดสิ่งที่ตัวผมผมเองในตอนนั้นก็ไม่เข้าใจ “ฉันขอโทษ..”
ผมเดินต่อ โดยมีเจอเรต แจ็ค และสเตซี่ตามมาด้วย พวกเขาไม่ได้ค้านอะไรอีกแต่สเตซี่ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด ทั้งแจ็คและเจอเรตเดินตามมาเงียบๆ พวกเราเดินตามเสียงฮัมของมิลลี่ จนกระทั่ง..
เราเห็นบ้านหลังหนึ่งที่ดูเหมือนเพิงร้างเก่าๆ ตั้งอยู่ใจกลางป่าทึบ
“นั่นมันบ้าอะไรกันวะ?” เจอเรตถาม “ใครจะมาสร้างบ้านอยู่กลางป่าทึบแบบนี้?”
“ฉันไม่ชอบมันเลยว่ะ” แจ็คกระซิบ
“เสียงฮัมดังมาจากบ้านนั่น” ผมพูด
“มันเป็นกับดัก มิลลี่ไม่ได้อยู่ในนั้น พวกเธอก็รู้ดี ทอม.. ขอร้องล่ะ พอทีเถอะ” สเตซี่พูด
“ฉันต้องเข้าไปข้างใน มิลลี่กับไมเคิลอยู่ในนั้น” ผมพูด ตายังคงมองบ้านมืดน่าขนลุก
ผมเองก็อธิบายไม่ถูก มันไม่เชิงว่ามีเสียงแหบพร่าน่ากลัวเรียกผมให้เข้าไปในบ้านหลังนั้น แต่ในหัวผมเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมเริ่มเดินเข้าใกล้ประตูหน้าบ้าน แต่สเตซี่เดินพรวดผ่านผมไป ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น เธอมีไฟฉายของเจอเรตในมือ
“ฉันเอง” ผมได้ยินเธอพูดพลางร้องไห้ไปพลางขณะเดินเร็วๆ ไปที่ประตู เธออายุมากกว่าพวกเราและคิดว่าต้องเป็นคนปกป้องและเสียสละเพื่อพวกเรา แต่สเตซี่อายุแค่ 19 ปี เธอเองก็ยังเด็กนัก เหมือนกันกับพวกเรานั่นล่ะ
สเตซี่คว้าลูกบิดประตูด้วยมือสั่นเทา “มะ.. มิลลี่? ไมเคิล? พวกเธออยู่ในนั้นหรือเปล่า? ฉันจะเข้าไปละนะ”
เจอเรต แจ็ค และผมยืนอยู่หลังเธอห่างออกไปไม่กี่เมตร สเตซี่เปิดประตูเผยให้เห็นความมืดมิดข้างใน เธอยกไฟฉายขึ้นส่อง
มันดูเหมือนบ้านธรรมดาหลังหนึ่ง ตอนนี้สเตซี่ยืนอยู่บนทางเดินในบ้านที่มีประตูหลายบานขนาบสองข้างลึกเข้าไปข้างใน และที่สุดทางเดินมีกรอบรูปหนึ่งติดอยู่บนผนัง ด้วยความมืด ผมไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นภาพอะไร แต่ก็ดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด สเตซี่ก้าวเข้าไปข้างใน กวาดไฟฉายไปตามประตูแต่ละบานสองข้างทาง ปากก็ร้องเรียกชื่อมิลลี่กับไมเคิล
ตอนนั้นเอง ลมเร็วแรงกระแทกประตูบ้านปิดตามหลังสเตซี่เสียงดังสนั่น
“สเตซี่!” เจอเรตร้องเรียกรีบวิ่งไปที่ประตู
เขากับแจ็คพากันใช้ไหล่กระแทกประตู ส่วนผมยกสองมือขึ้นกุมหัวปล่อยไฟฉายในมือตกพื้น นี่ผมทำอะไรลงไป? พาเพื่อนมาเสี่ยงตายที่นี่ทำไมกัน?
“ทอมมี่! มาช่วยกันหน่อยเร็วเข้า!” แจ็คตะโกนเรียก
ผมหลุดจากภวังค์แล้วรีบวิ่งไปช่วยเพื่อน ในที่สุดประตูก็เปิดออก ดูเหมือนความกล้าของผมหดหายไปแล้วผมเลยปล่อยให้แจ็คนำทาง เขาฉายไฟฉายในมือแล้วเดินเข้าไปในบ้าน พวกผมเดินตาม
สเตซี่! ประตูบานไหน? บอกที!” แจ็คตะโกน
มีประตูทั้งหมด 6 บานเรียงรายสองข้างทางเดิน
เราเช็กทีละประตู” แจ็คพูดพลางเปิดประตูบานแรกทางซ้าย
เจอเรตกับผมเดินตามแจ็คแบบคุ้มตัวต่ำตามองตามแสงไฟฉาย ไม่มีอะไรในห้องนี้นอกจากประเป๋าเป้ของไมเคิล
“พวกเขาอยู่ที่นี่” เจอเรตกระซิบ
แจ็คปิดประตูอย่างเบามือและพวกเราเดินข้ามไปอีกด้านไปยังประตูแรกทางขวามือ มันเป็นห้องนอน มีลายมือขีดเขียนบนผนังด้วยภาษาที่พวกเราไม่เข้าใจ
เหลืออีก 4 ห้อง..
ห้องที่มองทางซ้ายมือไม่มีอะไรนอกจากหนังสือบนพื้น
“พวกนายอยู่ที่ไหน?!” เจอเรตตะโกนถาม แจ็ครีบเอามือปิดปากเจอเรตพลางยกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ปากตัวเองเป็นเชิงให้เพื่อนเงียบเข้าไว้ เจอเรตพยักหน้าและพวกเราเดินไปที่ประตูบานที่สองทางขวามือ แจ็ควางมือบนลูกบิดอย่างลังเล
“ถอยไปหน่อย” แจ็คพูด “ระวังให้ดี ฉันรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ อาจมีอะไรในห้องนี้..”
ทันใดนั้นเอง ประตูบานที่สี่กระแทกเปิดออก สเตซี่ยืนอยู่ข้างใน ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกผิดธรรมชาติอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน และตาทั้งสองข้างของเธอหายไป เหลือแต่รูสีดำกลวงโบ๋
ที่แย่ที่สุดคือเธอยังไม่ตาย สเตซี่ยกแขนสั่นระริกขึ้นช้าๆ มาทางเรา ผมคิดว่าเธอคงอยากให้เราช่วย ผมว่าเธอคงอยากให้พวกเราช่วยฆ่าเธอให้หายทรมาน
“สเตซี่!” เจอเรตพูดเสียงแผ่ว จากนั้นวิ่งผ่านพวกเราเข้าไปในห้องนั้น
เจอเรต เดี๋ยวก่อน!” แจ็คตะโกน
ประตูกระแทกปิดตามหลังเจอเรต ตอนนี้พวกเราไม่มีไฟฉายในมืออีกต่อไปและตกอยู่ในความมืด แจ็คเขย่าลูกบิดประตูพยายามเปิดประตูสุดกำลังแต่ก็ไร้ผล
ตอนนั้นเองผมนึกขึ้นมาได้ว่ามีมือถือในกระเป๋า เลยดึงออกมาเปิดไฟฉาย
“เงียบสนิทเลย ไม่มีใครออกไปจากที่นี่ได้สินะ” แจ็คพูดเงียบๆ
“ก็คงงั้น” ผมพูดพลางสาดแสงไฟไปที่ประตูบานที่สามทางขวามือ “ยังเหลืออีกสองห้อง”
“ทอม มิลลี่ตายไปแล้ว ริคตายแล้ว สเตซี่ก็ตายไปแล้ว และเมื่อกี้เจอเรตก็หายไปอีกคน” แจ็คพูดใช้มือปาดน้ำตา “ไมเคิลเองก็คงตายไปแล้วด้วย นายก็รู้ดี”
“ฉันว่า.. ฉันว่าไมเคิลอยู่ที่นี่” ผมพูด
“ก็อาจจะใช่ แต่บางทีเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้ ฟังนะ.. ฉันเห็นเรื่องน่ากลัวมากับตา นายเองก็เห็นสิ่งที่เราอธิบายไม่ได้ ฉันเชื่อ.. ฉันเชื่อแล้วว่าแม่มดมีอยู่จริง นายกับฉันยังมีโอกาสออกไปจากที่นี่ได้นะ” แจ็คพูด
ผมไม่สนใจฟังแจ็คและเดินไปที่ประตูบานที่สามทางขวามือ พวกเราเดินมาสุดทางเดินและผมจำภาพบนผนังได้แล้ว.. มันเป็นภาพผม น้องสาวผม กับตาของผมที่บ่อน้ำวันที่ผมโดนตาดุเพราะผมพูดถึงแม่มดแห่งเพนเดล
“นั่นฉัน.. นั่นฉันเองในภาพวาด” ผมพูดเสียงแผ่ว
“นายพูดบ้าอะไรวะทอม?! ไปกันเถอะ ก่อนจะสายเกินไป” แจ็คพูดเสียงดัง
แต่ผมทำไม่ได้ ทุกอย่างมันสายไปแล้ว ผมเอื้อมมือไปที่ลูกบิดประตูบานที่สามแล้วค่อยๆ เปิดมันออก ข้างในมีใครคนหนึ่งยืนอยู่ และอีกคนนอนอยู่บนพื้น นั่นริคกับไมเคิล
“ริค…” ผมกระซิบ
ผมส่องไฟจากมือถือไปที่ริค เขาหันมามองพวกเรา ที่หน้าอกมีแผลเหวอะหวะเลือดกรัง ใบหน้าซีดเทา ตาทั้งสองข้างกลวงโบ๋เหมือนกันกับสเตซี่ แต่เขาแสยะยิ้มกว้างอย่างบ้าคลั่งราวกับมีความสุขอย่างที่สุด
ภาพนั้นตามหลอกหลอนผม.. จนถึงทุกวันนี้ผมยังคงเห็นหน้าของริคในคืนนั้น เขายกมือเลือดท่วมขึ้นแล้วแตะนิ้วที่ริมฝีปากพลางทำเสียง “ชู่ว์…” จากนั้นหัวเราะเสียงแหบพร่า เขาชี้ไปที่พื้นข้างหลัง
ผมพูดอะไรไม่ออก แต่ฉายไฟฉายไปที่พื้น ผมเห็นร่างเหวอะหวะขาดวิ่นของไมเคิล แขนข้างหนึ่งขาด ขาสองข้างขาด และตาสองข้างกลวงโบ๋ เขาชี้ไปที่อะไรบางอย่างตรงมุมห้อง
“ฉันหาเธอพบแล้ว” ไมเคิลพูดเสียงเบาหวิว “แม่มดมันบังคับให้ครูเฮนเดอร์สันทำ”
ผมฉายไฟไปที่มุมห้อง ตรงนั้นเอง มีกองกระดูกสวมชุดเดินป่ากองอยู่ นั่นมิลลี่..
ผมเริ่มร้องไห้ พอหันไปหาแจ็ค ปรากฎว่าเขาหายไปแล้ว มีแต่ผม ไมเคิล และสิ่งที่เคยเป็นริค
“แจ็ค!!!!” ผมตะโกน
เงียบสนิท แจ็คไม่อยู่แล้ว..
ประตูกระแทกปิดใส่หน้าผม ผมยืนอยู่คนเดียวในบ้านมืดสนิท อยู่ๆ ผมรู้สึกเหมือนน้ำหนักที่หนักอึ้งที่อกถูกยกออกไปและสมองกลับมาทำงานตามปกติอีกครั้ง ผมมองไปที่ประตูหน้า ใจอยากวิ่งกลับออกไปอย่างที่สุด แต่มีบางอย่างหยุดผมเอาไว้ ทำผมก้าวขาไม่ออก
ทันใดนั้นเอง ประตูบานสุดท้ายเปิดออก ผมเดินเข้าหามัน เดินเข้าไปข้างในและประตูปิดตามหลัง ห้องนี้หนาวเย็นอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน และมันมืดมากอย่างที่ผมไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนในชีวิต ผมยกมือถือขึ้นอย่างควบคุมแขนตัวเองไม่ได้ สาดไฟไปข้างหน้า
“ไม่..” ผมร้อง พยายามสุดกำลังที่จะหยุดแขนตัวเอง
ผมไม่อยากเห็นสิ่งที่อยู่ในห้องนี้..
ผมได้ยินเสียงหายใจ แต่ขยับเขยื้อนตัวไม่ได้
“ทะ.. ทำไมแกถึงไว้ชีวิตครูเฮนเดอร์สัน?” ผมถามเสียงสั่น
ผมบังคับมือตัวเองให้ปล่อยมือถือในมือตกพื้น พลางถอนใจด้วยความโล่งอก ผมไม่อยากต้องเห็นสิ่งที่สเตซี่และริคเห็นก่อนหน้านี้
“ข้อ.. ตก.. ลง…” เสียงแหบพร่าพูดขึ้น
มันไม่ใช่เสียงผู้หญิง ไม่ใช่เสียงผู้ชาย ผมคิดเสมอว่ามันเป็นเสียงปีศาจ แต่ผมแค่คิดแบบนั้นเพื่อปลอบใจตัวเอง.. เพื่อให้พอหลับตานอนได้ในทุกคืนหลังจากนี้เท่านั้น ที่จริงแล้ว ตัวอะไรก็ตามที่อยู่ในห้องกับผมตอนนี้เลวร้ายกว่าปีศาจหลายร้อยเท่านัก
“ข้อตกลงอะไร?” ผมถามมือสั่นระริกขนลุกเกรียว
ตอนนั้นเองผมมองเห็นเงาดำสนิทเคลื่อนมาด้านหน้าของหน้าต่างห้อง แสงจันทร์สลัวทำให้ผมมองเห็นร่างนั้นไม่ชัดเอาเลย แต่มันสูงกว่าสองเมตร แขนขายาว และหัวขนาดใหญ่กว่าหัวมนุษย์หลายเท่า จนถึงทุกวันนี้ ผมยังคงเห็นมันในความฝัน ผมโชคดีที่ทิ้งมือถือลงพื้น ถ้าผมเห็นสิ่งที่ริคกับสเตซี่เห็น ผมคงควักลูกตาตัวเองออกด้วยเหมือนกัน
“แก...ต้อง... ส่งเหยื่อมา...”
มันพูดแค่นั้นก่อนผมหมดสติไป แต่ผมรู้ว่ามันต้องการอะไร มันบอกผมในสิ่งที่ผมต้องรู้ มันอยากให้ผมรอดชีวิต.. แต่ผมต้องสานต่อสิ่งที่วิลเลี่ยม เฮนเดอร์สันเริ่มเอาไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อน เรื่องเล่าที่เขาบอกกับชาวบ้านแห่งบาร์เลย์นำพาเหยื่อคนแล้วคนเล่ามายังบ้านนรกหลังนี้
บางทีเขาอาจจะไม่ได้บอกรายละเอียดทั้งหมด แต่แค่ไอเดียก็เพียงพอที่จะนำทางเหยื่อผู้อยากรู้อยากเห็นมาที่นี่ ผมอยากจะเชื่อว่าครูเฮนเดอร์สันไม่ได้ตั้งใจจะพาลูกสาวตัวเองมาตาย เหมือนกันกับที่ไมเคิลไม่ได้ตั้งใจพาพวกเรามาเสี่ยงชีวิตที่นี่ พวกเขาแค่โง่เง่ามากพอที่จะหลับหูหลับตามาที่นี่และได้เรียนรู้ความจริงว่าบรรพบุรุษของเขาต้องทำอะไรเพื่อให้รอดชีวิตออกไปจากที่นี่ได้
และเหมือนกันกับครอบครัวเฮนเดอร์สัน ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไร พอผมฟื้นในเช้าวันต่อมา ผมเดินกลับไปที่แคมป์ แล้วโทรหาพ่อแม่ บอกพวกเขาว่าทุกคนหายตัวไปในป่า ผมบอกพ่อกับแม่ว่าพวกเขาพากันออกไปตามหามิลลี่ แต่ผมกลัวก็เลยรออยู่ที่แคมป์คนเดียว
ตอนนี้ผมอายุ 27 ปีแล้ว เวลาสิบสามปีผ่านไปและครอบครัวของเพื่อนๆ ผมยังคงตามหาลูกที่หายไปของพวกเขา แต่พวกเขาไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน ผมบอกพวกเขาได้ว่าที่ไหน แต่แม่มดจะไม่ชอบใจแน่ถ้าผมส่งกลุ่มคนพวกนี้ไปทำร้ายมัน ผมเลยโกหกตำรวจ และไม่มีใครหาบ้านนรกนั่นพบ
ผมยังเจอครูเฮนเดอร์สันในเมืองเป็นครั้งคราว ผมว่าเขารู้ว่าผมทำอะไร ผมว่าเขารู้ว่าผมทำอะไรลงไป เขามองผมอย่างเย้ยหยัน แต่ผมเองก็มองเขาด้วยสายตาแบบเดียวกัน
จำคำผมไว้.. แม่มดแห่งเพนเดลมีอยู่จริง มันอายุเก่าแก่กว่ามนุษย์เราหลายเท่านัก และมันหิวโหยเอามากๆ..
ผมว่ามาถึงตรงนี้คุณคงรู้แล้วว่าทำไมผมถึงเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟัง ผมว่าคุณเข้าใจ.. มันเป็นไอเดีย.. และผมต้องยัดเอาไอเดียนี้ใส่หัวใครสักคน เผื่อว่ามันจะเป็นผล และถ้าคุณรู้สึกเหมือนมีอะไรดลใจและดึงดูดคุณไปยังป่าทึบแห่งโบว์แลนด์ละก็.. ได้โปรด.. ให้อภัยผมด้วย
จบบริบูรณ์
------------------------------
🙏🙋Thank you Dominic, the original author, for allowing me to translate this amazing story. You are awesome!
*อย่าลืมคอมเม้น, แชร์โพสต์, และโดเนทให้กำลังใจแอดด้วยน้าา ทุกกำลังใจสำคัญและเป็นกำลังให้ทำเว็บนี้ต่อไปค่ะ
0 ความคิดเห็น