งานแรกของผมคืองานร้านอาหารเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ร้านชื่อ ฟลาวี่ส์ที่สาม เมืองเบอร์ลิงตันในเวสต์เลค มันเป็นร้านที่เล็กมากชนิดที่ลูกค้าต้องยืนต่อแถวกันใต้บอร์ดเมนูที่แขวนอยู่
ร้านนี้มีชื่อเสียงเพราะเบอร์เกอร์ กีโร และอาหารเช้าน้ำมันเยิ้มที่สั่งได้ตลอดวัน
ผมทำงานกะกลางคืนเหมือนกันกับลูกค้าส่วนใหญ่ มีทั้งหมอ (มีโรงพยาบาลขนาดกลางสองแห่งใกล้ๆ แถวนี้), ตำรวจ, นักดับเพลิง และข้าราชการทั่วไปที่แวะเวียนเข้ามาในละแวกนั้น
มีตำรวจวัยกลางคนคนหนึ่งที่เป็นขาประจำ บางครั้งเขาจะมากับเพื่อนร่วมงาน บางครั้งมาคนเดียว เราจะเรียกเขาว่า "เจ้าหน้าที่คาร์ลอส นูเนซ"
เจ้าหน้าที่นูเนซดูไม่เหมือนตำรวจเท่าไหร่ ถ้าผมเห็นเขาที่ร้านขายของชำ ผมคงคิดว่าเขาเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย ทนายความ หรือไม่ก็ตัวแทนขายบ้าน เขามีกรามเหลี่ยมและหน้าผากสูง ผมหยิกสีน้ำตาล มีจุดหัวล้านเล็กๆ น่ารักที่กลางกระหม่อม และใบหน้าเป็นมิตรเหมือนกับตัวละครที่เล่นบทคนเป็นพ่อในซีรีส์ตลกๆ
เจ้าหน้าที่นูเนซมีเรื่องเล่า ในคืนที่เงียบสงัด เขาจะเล่าเรื่องให้คนที่อยู่ในร้านฟังได้หลายชั่วโมง ซึ่ง "คนฟัง" นั้นก็จะมีเจ้าหน้าที่ดับเพลิง พี่ยามที่กำลังเบื่อเต็มที และนักศึกษาพยาบาลที่เพิ่งลงเวร
เรื่องราวของเขาหลายเรื่องค่อนข้างน่ากลัว เขาจะเก็บเรื่องเหล่านั้นไว้เล่าในคืนหนาวเหน็บและลมพัดแรง ในตอนที่ร้านว่างเปล่า มีแค่ตัวเขาเอง ผม และพ่อครัว
แม้ว่าจะผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว แต่สิ่งที่เขาเล่าให้ผมฟังในคืนนั้น.. ยังคงฝังอยู่ในใจผมจนถึงทุกวันนี้
--
"มันมีตึกอยู่หลังหนึ่ง" เขาเริ่มเล่า "ห่างจากที่นี่ไปไม่ถึงไมล์ ใกล้กันกับตึกซิกซ์แอนด์อัลวาราโด้ มันเป็นตึกร้างที่ถูกธนาคารยึด พวกเขาน่าจะทำลายมันทิ้งไปซะ"
มันเคยเป็นที่พักราคาถูกของคนรายได้น้อยชื่อ "อะพาร์ตเม้นต์เดอะพริมโรสต์" เดิมทีเคยเป็นอาคารสำนักงานมาก่อน จากนั้นถูกซื้อถูกๆ จากการประมูลในปี 1999 แล้วปรับปรุงใหม่ แบ่งออกเป็นยูนิตขนาดเล็กๆ ผนังสีขาว หลังคารั่ว แถมแอร์ก็ไม่เคยใช้การได้เลย
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 เจ้าหน้าที่นูเนซถูกส่งไปตรวจที่อะพาร์ตเม้นต์นั้นแทบทุกสองอาทิตย์ด้วยเหตุต่างๆ ตามธรรมดาอย่างที่พอจะคาดเดากันออก อย่างเหตุทะเลาะวิวาท, มีสารเสพติดไว้ในครอบครองหรือเพื่อขาย, การชกต่อยกันในที่จอดรถ, การค้าประเวณี, การโดดเรียน, การร้องเรียนเรื่องเสียงรบกวน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติในที่พักสาธารณะที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองใหญ่
แต่ทว่า ตึกนั้นกลับทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเอาเลย..
"ฉันไม่ชอบที่นั่นเลย" เขาบอกผม "มันน่าขนลุก ตึกที่สร้างในช่วงปี 70 ไม่ควรที่จะน่ากลัวแบบนั้น
ถ้าถามเขาว่าอะไรกันที่ทำให้เขารู้สึกกลัวตึกนั่น เขาจะพูดถึงตู้เล็กๆ บนชั้นแรกของตึก เขาอธิบายว่า ถ้าเดินมาจากทางเข้าด้านหลังตึก (ซึ่งมีแต่พนักงานและตำรวจเท่านั้นที่ใช้ทางเข้านี้) แล้วเลี้ยวซ้าย มันจะพาคุณไปยังประตูคู่ซึ่งเปิดไปสู่ล็อบบี้ ลิฟต์ และสำนักงานเช่า และถ้าเลี้ยวขวา มันจะนำไปสู่ทางเดินแคบๆ ผ่านห้องเก็บของของภารโรงจากนั้นจะเป็นทางตัน
ไอ้เจ้าตู้เล็กๆ ที่่ว่านี้จะอยู่ตรงข้ามกับห้องเก็บของภารโรง ประตูของมันเป็นประตูเปล่าๆ ไม่มีป้ายอะไรติดไว้เลย ดูเป็นตู้ธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษ
แต่สำหรับนูเนซที่บังเอิญไปเจอตู้ใบนี้เข้าตอนมองหาห้องน้ำ แม้แต่แค่การมองเห็นมันก็ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวอย่างไร้เหตุผล กลิ่นแปลกๆ อบอวลอยู่รอบๆ ประตู เขาจะได้กลิ่นนี่ทุกครั้งที่เดินผ่านประตูหลังเข้ามา
คืนหนึ่ง จนท. นูเนซและเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นตำรวจหญิงที่ชื่อ "รัสตี้ " ได้รับมอบหมายให้ไปที่อะพาร์ตเม้นต์พริมโรสต์เพื่อตรวจสอบเหตุทะเลาะวิวาทในครอบครัว – ชายคนหนึ่งขู่จะฆ่าแฟนสาวด้วยมีดแล่เนื้อ พวกเขาพบคนผู้หญิงล็อคตัวเองอยู่ในห้องน้ำ และแฟนหนุ่มกำลังทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง
เราจะเรียกผู้หญิงคนนั้นว่า "มาริโซล" และชายคนนั้นว่า "โมเดสโต"
นูเนซและรัสตี้เกลี้ยกล่อมทั้งคู่ได้สำเร็จ รัสตี้อยู่ในห้องน้ำกับมาริโซล ส่วนนูเนซนั่งอยู่ในครัวกับโมเดสโต โมเดสโตอ้างว่า มาริโซลนอกใจเขากับสามีเก่า เขาเห็นสามีเก่าของเธอมาด้อมๆ มองๆ อยู่แถวลิฟต์ในล็อบบี้
เมื่อนูเนซถามมาริโซลเรื่องนี้ เธอก็บอกว่าโมเดสโตบ้าไปแล้ว เธอยอมรับว่ายังคงคุยกับสามีเก่าของเธออยู่ แต่ก็เพียงเพื่อความเป็นอยู่ของลูกชายเท่านั้น เธอไม่ได้จะนอนกับเขา และที่สำคัญคือ สามีเก่าของเธออาศัยอยู่ที่รัฐวอชิงตันไม่ได้อยู่ใกล้ๆ แถวนี้
นูเนซคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ โมเดสโตอาจจะเห็นชายคนหนึ่งที่หน้าตาไปคล้ายกับสามีเก่าของมาริโซลเข้าเลยเกิดอารมณ์เสีย
เขาเดินเข้าไปในห้องของลูกชายของมาริโซลแล้วถือภาพถ่ายของลูกชายเธอกอดคอพ่อของเขาอยู่ออกมา (สามีเก่าของมาริโซลทั้งสูงกว่าและหล่อกว่า)
"ผมต้องเห็นไอ้รูปนี้อยู่ทุกวัน" เขาระบายกับนูเนซ "ถ้าผมเห็นมันแถวนี้ คุณคิดว่าผมจะจำไอ้เวรนี่ไม่ได้เหรอ?"
ต้องใช้เวลาสักพักกว่าโมเดสโตจะสงบลงได้และยอมรับว่าตัวเองอาจจะมองผิดไปเอง ส่วนมาริโซลแฟนสาวก็ไม่อยากเอาความใดๆ ทั้งคู่เลยตกลงกันได้ในที่สุด
สองสัปดาห์ต่อมา นูเนซและรัสตี้ถูกเรียกให้ไปที่อพาร์ทเมนต์เดียวกัน ด้วยเหตุผลเดิมอีกครั้ง คราวนี้มาริโซลล็อคตัวเองในห้องนอนหลัก ส่วนโมเดสโตถือเหล็กยางในมือ อ้างว่าเขาได้คุุยกับสามีเก่าเธอที่ล็อบบี้
"มึงนอนกับมัน!" เขาตะโกน "มันบอกกู! มันบอกกูเองว่ามึงนอนกับมันบนเตียงของเรา!"
ตำรวจเสริมถูกเรียกเข้ามาช่วย ครึ่งชั่วโมงต่อมา โมเดสโตถูกจับใส่กุญแจมือนั่งร้องไห้อยู่บนเก้าอี้ ขณะที่มาริโซลคุยโทรศัพท์อยู่กับสามีเก่าพยายามจะพิสูจน์ให้ได้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในล็อบบี้อะพาร์ตเม้นต์วันนี้
"นี่ไง!" เธอตะโกน
เธอเปิดรูปบนมือถือแล้วยื่นให้โมเดสโตดูจากนั้นยื่นให้นูเนซดูด้วย มันเป็นรูปถ่ายของสามีเก่าเธอกำลังยืนอยู่ข้างป้ายถนนของเมือง เวนัตชี และถือหนังสือพิมพ์ "เดอะเวนัตชีเวิลด์" ลงวันที่ของวันนั้นในมือ
"ไม่มีทางที่เขาจะบินมาที่นี่ นอนกับฉัน เสร็จแล้วบินกลับไปที่วอชิงตันได้ทันเวลาเพื่อถ่ายรูปนี่ จริงมั้ย?!"
พอถามโมเดสโตให้ขยายความเพิ่มเติม เขาก็บอกว่าตอนนั้นมีเขาอยู่คนเดียวในล็อบบี้กำลังเช็คกล่องจดหมายอยู่ตอนสามีเก่าของมาริโซลโผล่มาข้างหลัง แล้วบรรยายอย่างละเอียดว่าเขากับมาริโซลนอนด้วยกันยังไงตอนที่เขาทำงานอยู่ที่ที่ทำงาน
โมเดสโตบอกตำรวจว่าเขาสงสัยมาหลายเดือนแล้ว เขารู้ว่าสามีเก่าพยายามขอคืนดีกับมาริโซล เขาไม่สบายใจเพราะทั้งมาริโซลกับสามีเก่าดูจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ส่วนมาริโซลเองก็มักใช้สามีเก่ายั่วให้โมเดสโตหึงหวงอยู่บ่อยครั้ง – เธอมักจะโทรหาเขาเสมอถ้าทะเลาะกับโมเดสโต และมักพูดว่าเขาเป็นพ่อที่ดีและรักครอบครัวแค่ไหน
สุดท้าย ทางออกคือ โมเดสโตต้องไปนอกบ้านพี่ชาย ส่วนมาริโซลตกลงที่จะล็อคประตูบ้าน และจะมีรถตำรวจคอยลาดตระเวรแถวนั้นบ่อยๆ เผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก
นูเนซไม่รู้จะคิดอย่างไรกับสองคนนี้
แน่นอนว่าโมเดสโตดูเหมือนจะหวาดระแวงไปเอง แต่ความโกรธและความเสียใจของเขานั้นดูจริงใจ ส่วนมาริโซลเองก็เหมือนกัน เธออาจจะใช้สามีเก่ามายั่วให้แฟนหึงบ้าง แต่เธอดูเหมือนจะตกใจจริงๆ กับข้อกล่าวหาของเขาที่ว่าเธอนอกใจ และนูเนซก็ไม่อยากจะเชื่อว่าสามีเก่าเธอจะโดดขึ้นเครื่องบินมาที่ลอสแองเจลิสมานอนกับเมียเก่าแค่เพื่อทำให้โมเดสโตหึง
ที่แปลกกว่านั้นคือ มีชายคนหนึ่งในล็อบบี้...
นูเนซและรัสตี้เดินผ่านเขาตอนกำลังเดินกลับไปที่รถตำรวจ – ชายคนหนึ่งยืนพิงกำแพง ยกหนังสือพิมพ์ขึ้นบังหน้าราวกับกำลังอ่านหนังสือพิมพ์
นูเนซเห็นชายคนนั้นและรับรู้สิ่งที่เขาเห็น แต่สมองของเขาต้องใช้เวลาสักพักเพื่อประมวลผล
ไม่กี่นาทีต่อมา พอได้พิจารณาถึงสิ่งที่เห็น นั่นเป็นตอนที่ทุกอย่างกระจ่างในความคิดของเขา และผลกระทบของมันให้ความรู้สึกเหมือนเขาโดนอิฐก้อนโตกระแทกหัว
เขารีบวิ่งกลับไปที่ทางเข้าด้านหลังตึก ผ่านประตูคู่กลับเข้าไปที่ล็อบบี้อีกครั้ง แต่ชายคนนั้นหายไปแล้ว
ทิ้งไว้เพียงคำถามที่ว่า.. เขาเห็นชายคนนั้นจริงๆ เมื่อกี้ หรือว่าทั้งหมด.. เป็นเพียงจินตนาการของเขาเอง
เพราะเขาสาบานได้เลย.. ว่าหนังสือพิมพ์ที่ชายคนนั้นอ่านอยู่ คือหนังสือพิมพ์ "เดอะเวนัตชีเวิลด์"
*****(โปรดติดตามตอนต่อไป)*****
*Credit: Nicky_xx
0 ความคิดเห็น