ฉันจะพยายามไม่พูดลงรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของฉันมากนักจนทำให้พวกคุณเบื่อ
เรื่องของเรื่องคือ ฉันมีครอบครัวไม่ดี มีเพื่อนเกเร แถมยังเคยออกเดทกับผู้ชายที่ชอบตบตีผู้หญิง และนั่นทำให้ฉันมาถึงจุดที่ฉันยืนอยู่ในตอนนี้ ฉันเคยอยู่และเติบโตมาในพื้นที่ชนบทซึ่งน่าอึดอัดมากกว่าอะไรทั้งหมด ไม่มีอะไรดีๆ ที่นี่เอาเลย ฉันเลยเก็บข้าวของและเงินทั้งหมดที่มี แล้วเดินทางหนีออกไปจากนรกแห่งนั้น ชีวิตก็ยากลำบากอยู่เหมือนกัน เพราะช่วงสองสามอาทิตย์แรก ฉันต้องอาศัยเช่านอนตามโรงแรมถูกๆ แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าอย่างน้อยชีวิตก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแผนของฉันคือจะทำงานและเก็บเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาจจะหาเพื่อนใหม่ดีๆ สักสองสามคน และจากนั้นหาเช่าที่พักดีๆ เป็นของตัวเองในที่สุด ฉันโชคดีที่ได้ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารหรู แต่มันห่างจากที่ที่ฉันอยู่ออกไปไกลพอสมควร ฉันเลยต้องขึ้นซับเวย์ไปทำงานทุกวัน ฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ อายุ 24 พูดตามตรง ว่าการต้องใช้ชีวิตตามลำพังมันก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน
หลังจากทำงานได้สองสามอาทิตย์ ในที่สุดฉันก็หาอะพาร์ตเม้นต์ราคาถูกใกล้ที่ทำงานพบ มันค่อนข้างเก่า แต่ก็ยังดีกว่าต้องเดินทางไกลมาทำงาน หรือพักที่เก่ากับแฟนที่ซ้อมฉันเหมือนกระสอบทรายทุกวัน
บางครั้งเหมือนอย่างคืนนี้ ฉันต้องทำงานกะกลางคืนจากบ่ายสามโมงถึงห้าทุ่ม และมันทำฉันกลัวหน่อยๆ ที่ต้องกลับบ้านดึก หลังจากทำความสะอาดส่วนของฉันและตอกบัตรออกจากงานเรียบร้อยแล้ว ฉันบอกลาเพื่อนร่วมงานและออกเดินเข้าสู่ยามวิกาลอันหนาวเหน็บข้างนอก ด้วยความที่ทำแบบนี้เป็นกิจวัตร ฉันเดินเอื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน แต่รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเงียบผิดปกติแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอมาถึง ฉันผลักเปิดประตูหน้าของตัวตึก ลมอุ่นๆ ข้างในพัดมากระทบแก้ม มันทำให้ฉันรู้สึกดีที่อย่างน้อยที่นี่ก็อุ่น กำบังลมหนาวข้างนอกได้อย่างดี
ที่ล็อบบี้ตอนนี้ไม่มีใครเลย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ นี่ก็ใกล้เที่ยงคืนแล้วนี่นะ ใครจะมานั่งเล่นอะไรกันอยู่ที่นี่ ฉันเดินเรื่อยๆ ไปที่ลิฟท์ กดปุ่มเรียกลิฟท์และรออยู่สองสามนาที จากนั้นเอื้อมมือไปกดปุ่มเรียกลิฟท์ซ้ำๆ อีกสองสามที แต่ดูเหมือนลิฟท์ไม่มีทีท่าจะลงมาเลย “อะไรกันวะเนี่ย อย่าบอกนะว่าลิฟท์เสีย” ฉันบ่นออกมาดังๆ เป็นหมีกินผึ้ง ไหนๆ ก็ไม่มีใครอยู่ล็อบบี้นี่นะ “แม่งทำงานมาทั้งวันแล้ว ยังต้องเดินขึ้นบันไดอีกเหรอวะเนี่ย” ฉันบ่นต่อพลางเดินไปทางบันไดของตัวอาคาร
“แม่ง.. หลายชั้นด้วยดิ่” ฉันบ่นเบาๆ เอาเสียงตัวเองเป็นเพื่อนขณะเริ่มเดินขึ้นบันไดที่มีเพียงแสงสลัวพอให้มองเห็นขั้นบันไดเท่านั้น เสียงฝีเท้าของตัวเองดังก้องไปพร้อมกับทุกย่างก้าว และทันทีที่ขึ้นไปถึงชั้นสอง กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงของอะไรบางอย่างทำเอาฉันหยุดกึกและผงะถอยหลังพลางยกมือขึ้นปิดปากและจมูก กลิ่นมันแรงมากจนรู้สึกเหมือนแทบจะรับรสของกลิ่นนั่นได้เลย ทำเอาฉันนึกภาพตัวเองกำลังเลียเศษเนื้อเน่าๆ อยู่ ฉันเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น หวังจะเลี่ยงกลิ่นนั่นให้ได้ไวๆ
และในตอนนั้นเอง ฉันถึงได้รู้ว่ามันไม่ได้มีเสียงฝีเท้าของฉันคนเดียวที่กำลังขึ้นบันไดอยู่ตอนนี้
ทุกย่างก้าวของฉัน จะมีเสียงเดินแผ่วๆ ของใครบางคนดังมาจากด้านล่างของฉันนี่เอง ฉันเอี้ยวหัวแล้วก้มผ่านราวบันไดไปดูและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดมาด้วยเหมือนกัน เธอสวมชุดกระโปรงสีขาวบางๆ รูปร่างผอมแห้ง เธอเดินก้มหน้าแขนแนบข้างลำตัว ผมสีดำสนิทตกระกรอบหน้า เธอเดินขึ้นบันไดด้วยเท้าเปล่าส่งเสียงฝีเท้าแตะ..แตะ..แตะ.. เบาๆ
เธอดูเหมือนผีจากเรื่องเดอะกรัดจ์ไม่มีผิด เว้นแต่ว่าตัวสูงมากทีเดียว ฉันเองสูงประมาณ 155 ซม. แต่ผู้หญิงคนนี้น่าจะสูงอย่างน้อย 180 ซม. ได้ เธอเดินหลังค่อมและผมสีดำปกคลุมหน้าทั้งหน้าเอาไว้ ยิ่งเข้ามาใกล้ฉันมากเท่าไหร่ กลิ่นเหม็นเน่าก็ยิ่งแรงขึ้นมากเท่านั้น ฉันไม่แน่ใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่แต่เกิดกลัวขึ้นมาจับใจ เลยเร่งฝีเท้าจนขึ้นมาถึงชั้นสาม ฉันหายใจหอบพลางนึกโมโหตัวเองที่ไม่รู้จักออกกำลังกายซะบ้าง เดินขึ้นบันได้ไม่กี่ชั้นก็หอบแฮ่กซะแล้ว
จากนั้นฉันได้ยินเสียงฝีเท้า แตะ..แตะ..แตะ.. เบาๆ อีกครั้ง เว้นแต่ว่าคราวนี้มันเร็วกว่าเดิม ฉันหันไปมองและเห็นร่างสูงเก้งก้างเดินหลังค่อมอยู่ข้างหลังฉันนี่เอง กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงทำเอาฉันท้องไส้ปั่นป่วน ฉันขึ้นมาถึงครึ่งทางก่อนจะถึงชั้นสี่และหญิงในชุดขาวขึ้นถึงชั้นสาม ซึ่งห่างออกไปแค่ไม่กี่ฟุตเท่านั้น ฉันได้ยินเสียงหายใจแหบแห้งของเธออยู่ไม่ไกล
ฉันหันกลับแล้วออกวิ่งผ่านชั้นสี่ ในหูได้ยินเสียง **แตะๆๆๆๆๆ** เร่งเร็วขึ้นอีกจากด้านหลัง ตอนนี้แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่าเธอวิ่งตามฉันมาแน่ๆ กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งรุนแรงในอากาศ ฉันไม่มีทางเลือกและต้องสูดกลิ่นเหม็นเข้าเต็มปอด ไม่มีเวลามานั่งปิดปากปิดจมูกกันแล้ว เอายังไงดี ตอนนี้เกือบขึ้นถึงชั้นหกแล้ว จะลองไปเคาะตามห้องเพื่อขอความช่วยเหลือดีหรือจะวิ่งต่อดี ถ้าไปเคาะแล้วไม่มีคนเปิดประตูล่ะ? ถ้ามันตามมาถึงตัวฉันจะทำยังไงดี?
พอหันกลับไปดูอีกรอบ ปรากฎว่าตอนนี้ร่างผอมสูงอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว.. แถมตอนนี้เธอลงคลานสี่ขาเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน ฉันมองเห็นแขนขายาวๆ สีซีดประกบพื้น ผมยุ่งเหยิงดำสนิทปรกหน้า ฉันร้องลั่นพลางวิ่งสับเท้าสุดชีวิต
“ทำไมไม่มีใครเปิดประตูออกมาดูเลยวะ” ฉันคิดในใจน้ำตาคลอเบ้าแล้วตอนนี้ เหลืออีกชั้นเดียวก็จะถึงอะพาร์ตเม้นต์ของฉันแล้ว ซึ่งเป็นห้องแรกทางด้านขวาจากบันได ขาสองข้างทั้งร้อนทั้งแสบไปหมด ฉันทั้งวิ่งทั้งร้องไห้ออกมาเสียงดัง ไม่สนอีกแล้วว่าใครจะได้ยิน ใจก็คิดว่าทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยวะเรา โคตรโชคร้ายเลย
ตอนนั้นเอง ราวกับว่ายังแย่ไม่พอ ฉันดันสะดุดขาตัวเองล้มหน้าคว่ำกระแทกขั้นบันไดตรงหน้า เจ็บร้าวรุนแรงที่กราม ฉันรู้สึกเหมือนมีใครหายใจแหบๆ รดใบหู เธอค่อยๆ คลานขึ้นมาเหมือนตั้งใจจะค้ำร่างฉันจากด้านบน มือซีดๆ ดึงส่วนน่องของฉันเอาไว้แล้วดึงแรงๆ พลางเปิดปากพูด “มา.. กับ.. ฉันนนนนน”
ฉันกรีดร้องลั่นเตะขาถีบแรงๆ เป็นพัลวันเพื่อหนีให้พ้นภาพน่ากลัวตรงหน้า ตอนนั้นเองฉันได้ยินเสียงดัง ‘แกร็ก!’ เหมือนกระดูกหักและมือผอมแห้งที่เกาะขาฉันไว้หลุดไปในที่สุด ฉันคลานขึ้นบันไดต่อโดยไม่หันกลับไปมองอีก
ฉันลุกขึ้นแล้ววิ่งสุดชีวิตไปที่อะพาร์ตเม้นต์ของตัวเอง แต่ชนเข้ากับใครคนหนึ่งเข้าอย่างจังจนหงายหลังก้นจ้ำเบ้า จอห์น แฟนเก่าฉัน.. ไอ้ลูกไม่มีพ่อที่ซ้อมฉันทุกวัน.. ตอนนี้เขายืนจังก้ามองลงมาที่ฉันอย่างรังเกียจ สีหน้าของเขานำพาเอาความทรงจำหดหู่น่าหวาดหวั่นกลับมาอีกครั้ง ฉันพยายามลุกขึ้นยืน แต่จอห์นคว้าจับต้นแขนสองข้างของฉันแล้วดึงฉันขึ้นยืนอย่างแรง
ฉันมองเห็นความโมโหร้ายและรังเกียจในสายตาของเขา มันเป็นสิ่งที่ฉันคุ้นเคยดี ฉันยู่หน้าจากรอยบีบบนต้นแขนและขอร้องให้เขาปล่อย โครตดีเลย ตอนนี้ฉันต้องติดอยู่ระหว่างปีศาจร้ายสองตัวอย่างไม่มีทางหนีรอดไปไหนได้
“อีดอก มึงรู้มั้ยว่ากูเสียเวลาหามึงนานแค่ไหน!” เขาตะคอก น้ำลายกระเด็นใส่หน้าฉันเปียกไปหมด ความรู้สึกไร้ค่าและหมดหวังกลับมาอีกครั้ง หมดกัน… ทุกอย่างที่ฉันทำเพื่อหลบหนีจากเขา ทุกอย่างที่พยายามสร้างมากับมือ ตอนนี้มันพังทลายหมดแล้ว จอห์นหาฉันพบจนได้
“ขอร้องล่ะ ฉันขอโทษ! ปล่อยฉันไปเถอะนะ!” ฉันอ้อนวอน แน่นอนว่าคำพูดของฉันไม่มีความหมายอะไรกับเขา “มึงกับกูจะกลับไปบ้านกัน เข้าใจมั้ย!” ฉันพยายามดึงแขนตัวเองออกจากมือเขาแต่ขยับแทบไม่ได้เลย เลยใช้อีกมือข่วนเข้าไปที่หน้าเขาแรงๆ และรู้สึกได้ถึงเศษเนื้อเขาใต้เล็บ
เขาหันหน้ากลับมามองฉันงงๆ ไม่อยากเชื่อว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันมองเห็นรอยข่วนเลือดซิบขนาดใหญ่สามเส้นบนหน้า เขาเงื้อมหมัดขึ้นเหนือหัวเต็มกำลังและฉันทำได้แค่ยืนนิ่งหลับตาปี๋รอกำปั้นอยู่ตรงนั้น ระยะเวลาหลายปีของการถูกทำร้ายร่างกาย ทำให้ฉันรับการถูกตบตีอย่างไม่คิดสู้ ฉันจะไปทำอะไรได้ ลำพังผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันจะไปสู้แรงอะไรเขาได้? แถมหนีก็หนีไม่เคยพ้นอีก…
แต่แล้วอยู่ๆ ทั้งที่หลับตาปี๋รอกำปั้นอยู่แบบนั้น ฉันรู้สึกมือที่บีบต้นแขนฉันอยู่คลายออก และได้ยินเสียงเขาพูดสั่นๆ อย่างหวาดกลัว “นั่น.. นั่นมันตัวอะไรกันวะ!” ฉันยังหลับตาปี๋แต่รู้ว่าจอห์นพูดถึงอะไร เพราะได้ยินเสียง “แตะ.. แตะ.. แตะ..” ดังใกล้เข้ามาทุกทีและโถงทางเดินเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง
จอห์นปล่อยต้นแขนฉันในที่สุดและฉันทรุดลงกับพื้นเอามือกุมหัวไม่กล้าเปิดตาดู ในหูได้ยินเสียงฝีเท้าของจอห์นวิ่งเร็วๆ ห่างออกไปตามทางเดินขณะอีกฝีเท้าของหญิงปริศนาวิ่งตามไปติดๆ แตะ..แตะ..แตะ..แตะ! ฉันได้ยินเสียงดังตุบหนักๆ เลยเสี่ยงเปิดตาดู หญิงปริศนาในชุดขาวที่ตัวสูงเอามากๆ กำลังยืนค้ำจอห์น เธอปล่อยหมัดชกหน้าเขาไม่ยั้ง เลือดสาดกระจายเต็มพื้นในทุกหมัดที่เธอต่อยหน้าเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาหมดสติแล้ว แต่เธอยังปล่อยหมัดใส่หน้าเขาไม่ยั้ง
ตอนนั้นเอง ประตูใกล้กันกับที่ฉันนั่งมุดอยู่เปิดออก ฉันเหลือบมองและเห็นหญิงชราคนหนึ่งแอบมองผ่านช่องประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ ใบหน้าซีดเผือดเหมือนกระดาษและเต็มไปด้วยความกลัวแบบเดียวกันกับฉัน ฉันพยายามพูดว่า “ช่วยด้วย”.. แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมา
หญิงชราสูดหายใจลึกและเปิดประตู ในมือเธอกำมือถือเอาไว้แน่น “ฉัน.. ฉันโทรแจ้งตำรวจแล้วล่ะ” เธอกระซิบ
เราทั้งคู่มองไปทางโถงทางเดินที่จอห์นนอนหมดสติอยู่บนพื้นไกลๆ หญิงตัวสูงในชุดขาวหายตัวไปแล้ว ฉันและหญิงชรารอตำรวจอยู่ในอะพาร์ตเม้นต์ของเธออยู่เป็นนาน พอตำรวจมาถึง พวกเราให้การเหมือนกันว่าเห็นจอห์นถูกผู้หญิงในชุดขาวซ้อมจนหมดสติ ด้วยสภาพเกือบตายของจอห์น ตำรวจไม่อยากจะเชื่อคำให้การของพวกเราเท่าไหร่นักแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก จอห์นถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เห็นหรือพูดคุยกับเขา
สองสามวันหลังจากนั้น ฉันกลัวจับใจทุกครั้งที่คิดถึงการต้องขึ้นบันไดกลับอะพาร์ตเม้นต์ แต่โชคดีที่ลิฟท์ทำงานตลอดและไม่มีเหตุจำเป็นที่ฉันต้องใช้บันได้อีก หลังจากพักใจอยู่เกือบอาทิตย์ ฉันรวบรวมความกล้าแล้วกลับไปที่อะพาร์ตเม้นต์ของหญิงชราซึ่งก็อยู่ตรงข้ามกับห้องของฉันนี่เอง เธอชวนฉันเข้าไปดื่มชากับเธอในอะพาร์ตเม้นต์ พวกเรานั่งดื่มชากันอยู่เงียบๆ สักพักจนกระทั่งฉันถามว่าเธอรู้จักผู้หญิงในชุดขาวหรือเปล่า
เธอมองฉันอยู่ครู่หนึ่งด้วยดวงตาสีฟ้าซีดก่อนจะเริ่มเล่าให้ฟังว่า เมื่อนานมาแล้วตอนที่เธอยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ เธอย้ายมาอยู่ที่อพาร์ตเม้นต์แห่งนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่กับสามีของเธอที่นี่ หญิงชราจำได้ว่าอยู่มาวันหนึ่ง ผู้คนที่นี่ต่างพาบ่นกันเรื่องกลิ่นเหม็นเน่าที่ดูจะมาจากห้องผู้หญิงร่างผอมสูงคนนั้น พวกเขารวมทั้งเจ้าของอะพาร์ตเม้นต์พากันมาเคาะประตูแต่ไม่มีคนเปิดรับจนเจ้าของอะพาร์ตเม้นต์ต้องเอากุญแจสำรองมาเปิดประตูในที่สุด และพบศพเธอถูกสามีซ้อมจนเสียชีวิตและถูกทิ้งให้เน่าอยู่ข้างใน หญิงชรายังบอกอีกว่า ตอนนั้นเธอยังเด็กและยืนดูเหตุการณ์อยู่ท่ามกลางฝูงไทมุงทั้งหมด และจำได้ว่าตอนพวกเขาเอาศพของเธอออกไป ทั้งโถงทางเดินเหม็นเน่าติดจมูกอยู่หลายวันทีเดียว
ฉันดื่มชาจนหมดแก้ว ขอบคุณหญิงชราอีกครั้งที่ช่วยฉันเอาไว้ในคืนนั้นจากนั้นกลับไปที่อะพาร์ตเม้นต์ของตัวเอง ตอนไปถึงประตูอะพาร์ตเม้นต์ ฉันยืนอยู่ตรงนั้นเป็นนาน พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดในใจ ฉันหลับตาพลางเงี่ยหูฟังและได้ยินเสียง “แตะ…แตะ…แตะ…” เบาๆ ดังมาจากด้านหลัง “ขอบคุณค่ะ” ฉันกระซิบ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า ในคืนนั้น หญิงในชุดขาวพยายามจะช่วยฉัน ทั้งตอนที่ลิฟท์อยู่ๆ ก็ใช้การไม่ได้ ไปจนถึงตอนที่ฉันถูกถึงขาตอนขึ้นบันได เธอแค่พยายามหยุดฉันไม่ให้ต้องขึ้นมาพบกับแฟนเก่าที่รออยู่หน้าห้อง เธอแค่พยายามช่วยไม่ให้ฉันต้องพบจุดจบเดียวกันกับเธอ..
กลิ่นเหม็นเน่าบางๆ โชยมากระทบจมูก จากนั้นจางหายไป “ขอบคุณนะคะ.. ขอบคุณมากจริงๆ” ฉันกระซิบอีกครั้งก่อนเปิดประตูห้อง
จบบริบูรณ์
**************
1 ความคิดเห็น
หลาย ๆครั้ง ความหวังดีที่สื่อไม่ดีก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ทำให้กลายเป็นคน(?)ดีที่ไม่มีใครเข้าใจ
ตอบลบและเหมือนหลาย ๆเรื่องที่เคยสรุปไว้คือ โดยแท้จริงแล้ว คนน่ากลัวกว่าผี