ผมจำเป็นต้องพูดถึงการหายตัวไปของคาร์เตอร์เพื่อนผมเมื่อสามสิบปีก่อน ผมเคยบอกเรื่องนี้กับพ่อผมแค่คนเดียว ตอนแรกพ่อไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่อย่างที่พวกคุณเองก็คงไม่เชื่อ
แต่พ่อนั่งลงและฟังผมจนจบในที่สุด และพอผมเล่าจบ พ่อบอกผมไม่ให้บอกใครเรื่องนี้เด็ดขาด เพราะพวกเขาจะโทษว่าเป็นความผิดของผม แต่ตอนนี้เวลาผานไปหลายปีแล้วและผมอยากให้ครอบครัวของคาร์เตอร์ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนถนนสายนั้นกันแน่ และทำไมผมถึงไม่ยอมขับรถทางไกลอีกเลยหลังจากนั้นสมัยเรียนวิทยาลัย พวกเราสิบสองคนอาศัยอยู่ในอะพาร์ตเม้นต์ชั้นเดียวกันนอกวิทยาลัย เรามีหมาตัวหนึ่งชื่อทาซ พวกเราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขดีมาตลอดสองสามปี และทุกคนเรียนจบกันไปเมื่อสองสามปีก่อน แน่นอนว่า แต่ละคนเริ่มแยกย้ายกันออกไปทำงานที่อื่น สองสามคนไปทำงานที่นิวยอร์กและไมอามี่ เพื่อผู้หญิงคนหนึ่งไปไกลถึงญี่ปุ่นเพื่อทำงานกับบริษัทนินเทนโด้ ส่วนอีกเกือบครึ่งหนึ่งของกลุ่มก็ได้งานทำในโคโลราโดและอาศัยอยู่ในเมืองเดียวกัน เหลือแค่คาร์เตอร์กับผมที่ยังอยู่ที่ชายฝั่งทางตะวันออก
หน้าร้อนปีนั้น ผมกับคาร์เตอร์วางแผนจะไปเที่ยวหาเพื่อนที่มิดเวสต์ เรามีที่พักฟรีหลายแห่งเลย แถมโคโลราโดยังมีที่เที่ยวกลางคืนเยอะด้วย พวกเราแพคข้าวของใส่รถไซออนของผม เอาทาซใส่กรงวางเบาะหลัง แล้วออกเดินทางข้ามประเทศแสนงามนี้ไปเยี่ยมเพื่อนเก่าที่ห่างกันไปนาน
วันนั้นผมจำได้ดีว่าคาร์เตอร์ยิ้มกว้างพูดล้อเล่นไปเรื่อยเพราะตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยว ผมพยายามแพคของ ทาซก็เห่าอย่างมีความสุข ส่วนคาร์เตอร์ก็แพคเสื้อผ้าแล้วรื้อแพคใหม่อยู่หลายรอบ ผมรักเพื่อนผมนะ แต่คาร์เตอร์เป็นคนเดียวที่ยังเรียนไม่จบ เขายังพยายามเรียนให้จบหลังเพื่อนคนอื่นจบไปแล้วสองปี และผมไม่คิดว่าเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะได้ พูดตามตรงว่าผมกังวลนิดๆ เกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้
ผมมีความลับที่ไม่ได้บอกคาร์เตอร์ ผมไปได้งานที่โคโลราโดและสัญญากับตัวเองว่าจะบอกเรื่องจะย้ายออกจากบ้านกับคาร์เตอร์ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ผมกลัวว่าเขาจะเสียใจที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังคนเดียวหลังจากเพื่อนทุกคนย้ายออกกันไปหมด แต่ยังไงผมก็ตั้งใจจะบอกความจริงกับคาร์เตอร์ก่อนเราไปถึงโคโลราโดให้ได้
คาร์เตอร์เป็นคนเริ่มขับก่อนและผมเป็นดีเจเปิดเพลงฟังในรถ วันนี้แสงอาทิตย์ส่องสว่างสดใสและถนนโล่งดี พวกเราคุยกันไปหัวเราะกันไปอย่างสนุกสนาน มีทาซเห่าเบาๆ อย่างมีความสุขอยู่ที่เบาะหลัง ขณะขับรถเลาะผ่านหุบเขาและป่ารกครึ้มข้างทาง
พอมาถึงเทนเนสซี คาร์เตอร์ถึงได้รู้ตัวว่าปล่อยให้น้ำมันหมดเกลี้ยงถังและพวกเราเริ่มตระหนก เราแวะที่ปั๊มน้ำมันร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่งซึ่งมีหัวปั๊มแค่หัวเดียวและหน้าต่างทุกบานของตัวอาคารถูกปิดตายด้วยท่อนไม้ตอกตะปูทับ รอบสถานีมีเพียงพื้นที่โล่งกว้าง ไม่มีตึกหรือสถานที่อื่นให้เห็นเอาเลย
“นี่มันปั๊มร้างนี่นา” ผมขมวดคิ้วมองผ่านหน้าต่างด้านผู้โดยสาร
“ไม่หรอกพวก ต้องมีใครสักคนอยู่ที่นี่บ้างล่ะน่า บางทีอาจมีคนนอนที่นี่ก็ได้” คาร์เตอร์ขับวนรอบปั๊มช้าๆ แล้วไปหยุดที่หน้าหัวปั๊ม “ลองไปเคาะประตูดูเหอะ”
“ไม่รู้สิ จะดีกว่าถ้าเราจะขับกลับไปทางเดิมเพื่อมองหาปั๊มน้ำมัน ฉันมีถังน้ำมันอยู่ท้ายรถ เราเดินไปที่ปั๊มได้” ผมชี้ไปที่ถังน้ำมันฉุกเฉินความจุห้าแกลลอนที่ท้ายรถ
“อย่าได้ยูเทิร์นเด็ดขาดเลยพวก” คาร์เตอร์เปิดประตูเดินออกจากรถโดยไม่ได้ใส่เกียร์ว่าง รถเริ่มขยับนิดๆ ทำเอาผมต้องกระโดดข้ามไปด้านคนขับเพื่อจอดรถ “ดูดิ่พวก มีป้ายอยู่ตรงนี้” คาร์เตอร์พูดกวนๆ ตามเคย
ด้วยความรำคาญ ผมพาทาซออกไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสาย จากนั้นเอามันกลับใส่กรงก่อนเดินไปที่ป้ายหน้าประตูตรงหน้าคาร์เตอร์ “นายน่าจะเช็กน้ำมมันดูหน่อยตอนยังพอมีความเจริญอยู่รอบตัว ก่อนที่น้ำมันจะเกลี้ยงถังแบบนั้น”
“มันมีความเจริญที่ไหนกันล่ะแถวนี้” คาร์เตอร์พูดปัดๆ ก่อนชี้ไปที่ป้ายตรงหน้า “ดูดิ่ น้ำมันฟรีว่ะ”
ผมอ่านป้ายที่ดูเหมือนมีใครเอานิ้วเขียนบนชิ้นไม้เก่าๆ ผมยังจำข้อความพิศดารบนป้ายนั่นได้ขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้
“ให้เท่าที่ให้ได้ แล้วไปต่อตามถนนสายนี้ ถ้าให้ไม่มากพอสำหรับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ก็จะมีด่านเก็บเงินที่ปลายทาง”
มีลูกธนูชี้ไปที่ภาชนะคล้ายโกศทำด้วยดินเหนียวสกปรก ที่ด้านข้างมีรอยเขียนจางๆ ผมขนลุกไม่กล้าไปแตะต้องมัน แต่คาร์เตอร์เอาเท้าไปสะกิดจนมันพลิกคว่ำไปข้างๆ ดินเหนียวแตกกระจาย เขาหัวเราะชอบใจก่อนเดินกลับไปที่รถ
ผมหยิบกระเป๋าตังออกมาก่อนเดินไปที่หัวปั๊ม “บอกมาว่าเติมไปกี่แกลลอน มันราคา 1.31 ดอลลาร์ต่อแกลลอนในปั๊มที่เราแวะครั้งก่อน เดี๋ยวฉันคำนวนเอง”
“ไม่มีทางพวก เงินนั่นใช้ดื่มได้ทั้งคืนเลยนะเว้ย ไม่ก็ซื้อเนื้อดูดได้ตั้งเยอะ ไอ้เจ้าของปั๊มหน้าโง่นี่มันให้น้ำมันเราฟรีว่ะ” คาร์เตอร์พูดพลางเติมน้ำมัน
“ทำแบบนั้นมันไม่ถูกนะ พวกเขาใจดีพอให้นายได้เติมน้ำมันเพราะรู้ว่าไอ้งั่งอย่างพวกเราจะปล่อยรถน้ำมันหมดกลางทาง นายอยากทำให้พวกเขาล้มละลายหรือไง?”
“ฟังดูเหมือนนายเรียกฉันว่าไอ้งั่งนะ” คาร์เตอร์ชะงักนิ้วที่กดไกหัวจ่ายน้ำมันแล้วเหลือบขึ้นมาจ้องหน้าผม
“ไม่ คาร์เตอร์ นายแค่ไม่เก่งเลขและไม่ควรตัดสินใจเรื่องเงิน” ผมตอกกลับ
“คราวนี้เรื่องเงินอีกแล้วสินะ” เขากระแทกหัวจ่ายกลับเข้าที่
“เออ เรื่องเงินอีกแล้ว เรามีเงินจ่ายก็จ่ายไปเถอะน่า จะเอาเปรียบคนอื่นทำไม ถ้าเค้าติดกล้องวงจรปิดไว้นายจะทำยังไง?”
“งั้นพวกมันก็แค่ต้องส่งบิลมาให้ฉัน” เขาปีนกลับขึ้นรถด้านคนขับแล้วเร่งเครื่องเสียงดัง
“ซึ่งนายไม่ต้องจ่ายเพราะนี่มันรถฉัน เหมือนอย่างบิลค่าน้ำไง!” ผมแดกดัน
“นี่นายยังโมโหเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ?” คาร์เตอร์ตอนนี้ตะโกนใส่ผมขณะผมเดินกลับขึ้นรถ “ฉันก็จ่ายไปแล้วไง”
“นายจ่ายสายไปอาทิตย์นึงทุกเดือน ลืมมันทุกเดือน” ผมตะคอกกลับ ทาซเริ่มร้องครางน่าสงสาร
“แล้วไงวะ? อาบน้ำเย็นมันดีต่อสุขภาพออก เค้าว่ามันช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก” คาร์เตอร์เริ่มถอยรถก่อนผมจะปิดประตู ทาซเห่าเป็นห้วงสั้นๆ ดังๆ
“ไร้สาระว่ะคาร์เตอร์ นายคิดเรื่องนั้นขึ้นมาเองจะได้ทำตัวขี้เกียจไม่ได้เรื่องต่อไปเรื่อย” คาร์เตอร์เร่งเครื่องออกจากปั้มน้ำมัน ยางเบียดถนนเสียงดัง กลิ่นไหม้ตลบอบอวลไปทั่ว
“ขี้เกียจไม่ได้เรื่องงั้นเหรอวะ? แล้วมาทนอยู่บ้านเดียวกันทำไมตั้งนาน?!” เขาตะโกนกลบเสียงเห่าของทาซ
“ก็จะอยู่อีกไม่นานหรอก ฉันได้งานในโคโลราโด ว่าจะไปหาที่พักตอนเราไปถึงที่นั่นด้วยเลย!” ผมน่าจะพูดอย่างอื่น อย่าง “นายจะมาด้วยกันก็ได้นะ” หรือ “ฉันยังไม่ได้ตกลงรับงานนั่น” อะไรก็ได้ที่จะทำให้คาร์เตอร์ใจเย็นลง แต่ผมเลือกที่จะทำให้มันเจ็บใจเล่น
คาร์เตอร์หน้าเฝื่อน รถลดความเร็วลงจนเหลือแค่คลานช้าๆ และหยุดลงในที่สุด ทาซยังเห่าไม่หยุดและตอนนี้ครางเบาๆ ขณะเราจอดอยู่ข้างทาง คาร์เตอร์ออกไปจากรถและเปิดประตูค้างไว้ ผมดึงมันปิดเผื่อมีรถผ่านมาและสังเกตเห็นว่าแถวนี้ไม่มีรถเลยแม้แต่คันเดียว และถึงแม้พวกเราเพิ่งจะขับออกมาจากปั้มได้ไม่ไกลนัก แต่พอหันไปมองกลับหาปั้มน้ำมันนั่นไม่เจอแล้ว
ผมเดินไปยืนมองต้นไม้เงียบๆ อยู่ข้างคาร์เตอร์ พยายามจะขอโทษ แต่เขาไม่มองหน้าผมเลยด้วยซ้ำ
ป่ารกตรงหน้าเงียบสนิท เรายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ จนแสงอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า ก่อนคาร์เตอร์หันเดินกลับไปขึ้นรถฝั่งผู้โดยสารโดยไม่พูดอะไรสักคำ ผมเดินไปขึ้นนั่งด้านคนขับ สตาร์ทแล้วออกรถในความเงียบอย่างเศร้าๆ หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ป่าทึบวิ่งผ่านหน้าต่าง ต้นไม้ต้นเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผมน่าจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติเร็วกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะมัวแต่ทะเลาะกับคาร์เตอร์ พอมองย้อนกลับไป ความโมโหหน้ามืดทำเอาผมไม่ทันได้ใส่ใจกับทัศนียภาพรอบข้างที่ไม่เปลี่ยนแปลงเอาเลย ไม่มีทางลาด ปั้มน้ำมัน หรือป้ายบอกทางอะไรทั้งนั้นและไม่มีรถคันอื่นบนถนนเลยด้วย และพอหันไปมองเบาะหลัง ทาซหายไปจากกรงอย่างไร้ร่องรอย
“ทาซหายไปไหน!” ผมจ้องเบาะหลังว่างเปล่าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“มันหลุดออกไปได้ยังไง?” น้ำเสียงคาร์เตอร์เหมือนกล่าวหา ตาเลิ่กลั่กไม่หยุด
“นี่ฉันเองนะที่เป็นคนปิดประตูนายเมื่อกี้ เพราะงั้นอย่าทำท่าทีเหมือนนายดีนักหนาเลย” ผมตะคอกกลับ
“สงสัยหลุดออกไปทางหน้าต่างมั้ง” คาร์เตอร์พึมพำ ผมหยุดแล้วกลับรถ พวกเราเริ่มขับกลับไปตามทางเดิม ยังไม่พูดกันแต่กังวลอยู่ลึกๆ เพราะทาซหายตัวไป ไม่รู้เลยว่าไม่ใช่แค่ทาซที่พวกเราจะทิ้งไว้เบื้องหลัง…
(โปรดติดตามตอนต่อไป…)
💖Special thanks to BMC1331, the author of the original story.💖
2 ความคิดเห็น
สนุกดี น่าติดตาม
ตอบลบขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ ^^ :)
ลบ