![]() |
Image courtesy: https://www.goodfon.com/wallpaper/artem-demura-by-artem-demura-nuckelavee-mythbook-2-the-demon.html |
พวกเราอาศัยอยู่ที่รัฐเพนซิลเวเนีย ห่างจากชายหาด พ่อของผมเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว มันเป็นการจากไปอย่างสงบปราศจากความเจ็บปวด หลังการตายของพ่อ ผมตัดสินใจหาข้อมูลเกี่ยวกับญาติทางพ่อ พ่อผมย้ายถิ่นฐานมาจากสก็อตแลนด์ มีพ่อแม่และพี่ชาย แต่ก็ไม่เคยพูดถึงพวกเขาเลย ปู่กับย่าเสียชีวิตไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนก็จริง แต่ลุงของผมยังมีชีวิตอยู่
เขายังอาศัยอยู่ที่สก็อตแลนด์ เมืองโอคนีส์ซึ่งผมไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน พอหาเบอร์โทรของลุงเจอก็ลองติดต่อไป ลุงดีใจมากที่ได้คุยกับผม เขาบอกว่าไม่เคยได้ข่าวจากพ่อผมมาหกปีแล้วและอยากรู้ว่าพ่อผมเป็นยังไงบ้าง ผมบอกลุงไปว่าพ่อเสียแล้วและลุงเสียใจมาก ผมขอไปเยี่ยมลุงที่โอคนีส์เพื่อดูสถานที่ที่พ่อของผมเติบโตมา ลุงดีใจมากและเราวางแผนเจอกัน สองอาทิตย์ต่อมา ผมก็เดินทางไปถึงสก๊อตแลนด์และลุงก็มารับที่สนามบิน
พอลุงขับพาผมมาถึงบ้าน ทั้งป้าและลูกพี่ลูกน้องของผมก็รอต้อนรับกันอยู่แล้ว พวกเราดื่มวิสกี้กันคนละสองสามแก้ว นั่งคุยกันถึงความทรงจำเก่าๆ เกี่ยวกับพ่อของผม พวกเขาเป็นมิตรและสนุกสนาน ดูไม่มีอะไรผิดปกติ ผมไม่แน่ใจว่าทำไมพ่อถึงไม่เคยพูดถึงญาติๆ ฝั่งพ่อให้ผมฟังบ้างเลย
เย็นวันนั้น ลุงเอาอัลบั้มรูปเก่าๆ มาเปิดดู พ่อผมสมัยก่อนดูมีความสุข ผมสังเกตเห็นว่าที่จริงผมกับพ่อสมัยหนุ่มหน้าตาคล้ายกันมาก มันมีทั้งรูปถ่ายครอบครัว วันเกิด และวันคริสต์มาส รูปถ่ายของพ่อกับเพื่อนสมัยเด็ก มีอยู่รูปหนึ่งที่เตะตา คือรูปพ่อสมัยยังหนุ่มบนเรือใบล่องทะเล ซึ่งก็แปลก เพราะผมรู้ดีว่าพ่อผมกลัวทะเลมากแค่ไหน ผมถามลุงถึงเรื่องนี้ ลุงดูงุนงง ถามว่าผมหมายความว่ายังไง ผมเลยบอกกับลุงว่าพ่อผมกลัวทะเลมาก ลุงหัวเราะดังลั่น บอกว่าสมัยเด็ก พ่อของผมชอบไปทะเลมากกว่าอะไรทั้งหมด
สมัยเด็ก ทุกครั้งที่ผมขอให้พ่อพาไปเที่ยวทะเล พ่อมักดูเคร่งเครียด บอกผมว่ามันอยู่ไกลเกินไปและไม่ใช่ความคิดที่ดี ผมเคยถามแม่ด้วยว่าพ่อเค้ากลัวอะไรกันแน่ แม่บอกว่าแม่เองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน พร้อมเล่าให้ฟังว่า ตอนที่เริ่มดูใจกันใหม่ๆ พ่อกับแม่เคยขับรถไปที่เมืองชายทะเลเล็กๆ ตอนแรกพ่อก็ไม่ยอม แต่แม่ขอร้องเชิงบังคับจนพ่อใจอ่อน แม่บอกว่าพ่อดูสบายดีในช่วงกลางวัน แต่คืนนั้น พ่อกับแม่ตกลงไปเดินเลียบชายหาดชมแสงจันทร์กัน ตอนแรกพ่อก็ดูปกติดี แต่อยู่ๆ ก็หยุดเดินกระทันหัน ตาจ้องไปที่ทะเลไกลๆ อยู่นาน แล้วร้องลั่น หันหลังกลับแล้วออกวิ่ง แม่วิ่งตามพ่อไปจนถึงที่ที่พวกเขาจอดรถทิ้งไว้ตอนแรก พบพ่อนั่งสั่นอยู่ในรถ ปากพร่ำพูดว่า “มันตามผมมาๆ” ซ้ำๆ ไม่หยุด
หลังกลับถึงที่พัก พ่อไม่ยอมนอน ดูหวาดระแวงเอาแต่มองนอกหน้าต่าง พอรุ่งเช้า พ่อตัดสินใจขับกลับบ้านทันทีทั้งๆ ที่ตอนแรกตั้งใจจะอยู่ต่ออีกสองสามวัน ตั้งแต่นั้นมา แม่ก็ไม่เคยขอให้พ่อพาไปเที่ยวทะเลอีกเลย
ผมเปิดดูอัลบัมภาพถ่ายต่อ และเห็นอีกรูปหนึ่งที่พ่อผมกำลังตกปลาและไม่ได้ใส่เสื้อ มันน่าแปลกตรงที่ในรูป พ่อไม่มีแผลเป็นที่หัวไหล่ซ้าย ตั้งแต่จำความได้ ผมก็เห็นพ่อมีแผลเป็นขนาดใหญ่ที่หัวไหล่ซ้ายมาตลอด ซึ่งพ่อบอกว่ามันเป็นแผลจากตอนที่พ่อตกรถจักรยานตอนยังเด็ก แต่ดูจากรูปนี้แล้ว แสดงว่าพ่อโกหกเรื่องที่มาของแผลเป็น ผมลองถามลุงเรื่องนี้ และลุงบอกว่าพ่อผมโดนสัตว์จู่โจมและได้แผลเป็นนั่นมาตอนอายุ 20 ต้นๆ หลังเกิดเหตุการณ์ พ่อของผมก็ย้ายไปอยู่กับญาตห่างๆ ที่เมืองอื่น และย้ายถิ่นฐานไปอยู่อเมริกาในที่สุด ซึ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก
พอผมถามว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนที่พ่อผมถูกสัตว์ทำร้าย ลุงมีสีหน้าเคร่งขรึม เอื้อมมือไปหยิบขวดวิสกี้ แล้วรินเพิ่มใส่แก้วตัวเอง
“มันไม่ใช่คืนที่ลุงอยากนึกถึงเท่าไหร่นัก” เขาสูดหายใจลึก “พ่อของหลานชอบเดินที่ชายหาดตอนกลางคืนเป็นชีวิตจิตใจ เขาต้องไปเดินทุกคืนเพื่อออกกำลังกายและคลายเครียด” ลุงพูดต่อ “เดินอยู่แบบนั้นเป็นกิจวัตรและไม่เคยมีปัญหาอะไร จนกระทั่งคืนหนึ่งในฤดูหนาว มันเป็นคืนที่หนาวสุดขั้ว พ่อของหลานตั้งท่าจะออกไปเดินที่ชายหาดอีกครั้ง ปู่ของหลานห้ามเอาไว้ บอกว่ามันหนาวเกินไป แต่เขาไม่ยอมฟัง และบอกว่าจะไปเดินแค่เดี๋ยวเดียวแล้วจะรีบกลับ” ลุงถอนใจ
“เขาหายนานเกือบสามชั่วโมง ปู่เค้าเกิดเป็นห่วงและกำลังจะออกไปตามหา อยู่ๆ เขาก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาในบ้าน ด้วยสภาพยับเยิน ไหล่ซ้ายเป็นแผลฉกรรจ์ เหมือนไปโดนกรงเล็บขนาดใหญ่ข่วนมาอย่างเต็มกำลัง ปากก็ร้องโหยหวนฟังไม่ได้ศัพท์ ทุกคนต่างตกใจกับภาพที่เห็น และรีบเข้าช่วย ไม่นานพ่อของหลานก็หมดสติไป” ลุงกระดกวิสกี้เข้าปากอีกจอก ผมสังเกตเห็นมือเขาสั่นนิดๆ
“พวกเราไปตามหมอมารักษาเขาที่บ้าน หมอบอกว่าพ่อของหลานคงถูกหมาแถวนั้นจู่โจม นอกจากบาดแผลที่ไหล่ซ้ายแล้ว เขาก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก อาจจะแค่ช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้น พักผ่อนสักพักก็น่าจะดีขึ้นเอง แต่เช้าวันรุ่งขึ้น พ่อของหลานฟื้นได้สติและรีบเก็บข้าวของ ปากก็บอกว่าเขาอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้อีกแล้ว เขาออกจากบ้านไปตั้งแต่วันนั้น และไม่กลับมาที่นี่อีกเลย”
ลุงน้ำตารื้น “จนถึงวันนี้ ลุงเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของหลานในคืนนั้นกันแน่ มันไม่น่าจะใช่หมากัด เพราะรอยแผลนั่นใหญ่และลึก เหมือนกรงเล็บทรงพลังของอะไรสักอย่าง”
ผมยังมีคำถามมากมายอยากจะถาม แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ลุงทั้งเศร้าทั้งเครียด ผมเลยจำต้องเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อให้แกรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง พวกเราคุยกันอยู่สักพักก็แยกย้ายกันไปนอน
อาทิตย์นั้น ลุงพาผมไปเที่ยว “บาร์ที่เยี่ยมที่สุดในอังกฤษ” พวกเรากินดื่มกันอย่างสนุกสนาน ขากลับ ลุงผมเมามากพอสมควรก็เลยขึ้นนอนไปก่อน ส่วนผมเมาอยู่บ้าง แต่ไม่มากเท่าไหร่ เลยตัดสินใจจะออกไปเดินเล่นที่ชายหาดเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์เสียหน่อย
ผมเดินไปตามถนนสู่แนวชายฝั่ง มันเป็นคืนในฤดูหนาวและมีฝนตกก่อนหน้านี้ไม่นาน ทำให้อากาศแจ่มใสขึ้นนิดหน่อย ผมพบทางเดินเท้าเส้นเล็กๆ ทอดยาวเข้าไปในป่า หูได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งอยู่ไกลๆ เลยเดินตามทางเดินนั้นไป พอไปถึงชายหาด อากาศเย็นยะเยือกปนเค็มนิดๆ ของทะเลปะทะใบหน้า แสงสลัวของพระจันทร์เต็มดวงบนผืนน้ำงดงามแปลกตา มีเพิงประมงเก่าๆ ที่ถูกทิ้งร้างอยู่ไม่ไกล มันดูซอมซ่อเพราะต้องปะทะลมทะเลมาแรมปี ถังน้ำฝนขึ้นสนิมสองสามใบที่มีน้ำฝนเต็มปริ่มตั้งอยู่ด้านนอก
ผมยืนมองรอบตัวอย่างเพลิดเพลิน ด้วยความที่พ่อผมกลัวทะเล ทำให้ชีวิตวัยเด็กของผมไม่เคยได้ไปชายหาดเหมือนกับเด็กคนอื่น
ตอนนั้นเอง อยู่ๆ บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน จากทะเลที่สงบ กลับกลายเป็นหนาวเหน็บและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ผมมองไปที่ทะเลไกลโพ้น แล้วเห็นอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมาจากผืนน้ำช้าๆ ตอนแรก มันดูเหมือนภาพคนกำลังขี่ม้า แต่พอสังเกตดีๆ ผมก็แน่ใจว่ามันจะเป็นคนไปไม่ได้ ร่างที่ปรากฎตรงหน้าเป็นร่างของม้าดำทะมึนขนาดมหึมาที่มีร่างคล้ายโครงกระดูกมนุษย์ยึดติดอยู่ด้านบน ใบหน้าของมันเป็นกะโหลกมีเนื้อเละๆ ห้อยรุ่งริ่ง จมูกโหว่เป็นรู ทั้งร่างของมันไร้ผิวหนัง เผยให้เห็นเส้นเลือดและกล้ามเนื้อแดงๆ เต้นตุบๆ อยู่ทั่วตัว ช่วงแขนห้อยยาวผิดส่วน มีอุ้งเล็บยาวๆ แทนส่วนมือ มันกำลังวิ่งตรงมาที่ผมพร้อมเสียงร้องผิดมนุษย์!
ขนต้นคอผมลุกซู่ลามลงไปถึงสันหลัง ผมหันกลับแล้วเริ่มออกวิ่งไปทางกระท่อมชาวประมงเก่า หูได้ยินเสียงเกือกม้าก้องวิ่งใกล้เข้ามาทุกที มันคว้าเสื้อจากด้านหลังแล้วยกผมขึ้นกลางอากาศ ดึงผมเข้าใกล้ส่วนที่เป็นหัวม้าของร่างน่าขยะแขยงของมัน กลิ่นลมหายใจจากม้าเหม็นเน่าเหมือนกลิ่นความตายไม่มีผิด ผมตกใจกลัว ใช้สองนิ้วทิ่มไปที่ลูกตาม้า ทั้งส่วนโครงกระดูกและส่วนม้ากรีดร้องประสานเสียงอย่างเจ็บปวดก่อนปล่อยผมหล่นตุ้บลงที่พื้น
ผมรีบลุก พุ่งตัวไปที่กระท่อมชาวประมงแล้วปิดประตูตามหลัง ปีศาจน่าขยะแขยงเดินวนรอบกระท่อม เสียงเกือกม้าดังก้องทุกย่างก้าวส่งใจผมไปอยู่ที่ตาตุ่ม ตอนนั้นเอง ผมได้ยินเสียงโบราณแหบแห้ง “อเล็กซานเดอร์ เจ้าไม่น่าโง่กลับมาที่นี่เลย” เลือดในตัวผมเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง อเล็กซานเดอร์คือชื่อพ่อของผม ไอ้ปีศาจข้างนอกนั่นรู้จักพ่อผมและเข้าใจผิดคิดว่าผมคือพ่อ
ผมนิ่งฟังอยู่ในกระท่อม ใจเต้นแทบจะหลุดออกมานอกอก
“คราวนี้ ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าหลุดมือไปง่ายๆ แน่” เสียงนั่นน่ากลัวมากกว่าอะไรทั้งหมดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา แต่จากที่มันพูด แสดงว่าพ่อผมเคยเอาชนะมันมาก่อนและรอดพ้นเงื้อมมือของมันไปได้ เขาทำได้ยังไงนะ? ผมพยายามคิดให้ออก แต่ตอนนี้ปีศาจร้ายพังประตูเข้ามาได้แล้ว ร่างครึ่งม้าน้ำลายยืดด้วยความคาดหวัง ส่วนครึ่งผีกำลังแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย ผมถอยหลังกรูด ในหัวคิดไปต่างๆ นาๆ ว่าถ้ามันจับผมได้ มันจะทำอะไรกับผมบ้าง
ร่างผิดรูปตั้งท่าจะวิ่งเข้าหาผม แต่แล้วก็มีน้ำฝนหยดใส่หัวไหล่มัน ผมเห็นมันสะดุ้งพร้อมร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดอย่างกับโดนน้ำร้อนลวก ตอนนั้น ผมไม่ทันได้คิดอะไร มือคว้าถังน้ำฝนข้างๆ ด้วยสัญชาตญานล้วนๆ แล้วสาดโครมไปที่ร่างปีศาจตรงหน้า มันกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทั้งร่างกระดูกครึ่งบนและร่างม้าครึ่งล่าง ร่างม้ายกสองขาหน้าขึ้นเตะอากาศ จากนั้นถอยกรูด ผมรีบคว้าถังน้ำฝนอีกถัง คราวนี้สาดใส่หน้าไอ้โครงกระดูกครึ่งบนจังๆ มันร้องลั่นพร้อมสาปแช่งเป็นภาษาที่ผมก็ฟังไม่ออก ผมคว้าน้ำอีกถังแล้วสาดโครมไปที่ม้าครึ่งล่าง มันส่งเสียงคำรามก้องอย่างเจ็บปวด ผมใช้จังหวะนี้วิ่งผ่านมันออกมาจากกระท่อม ผมวิ่ง วิ่งและวิ่ง หูได้ยินเสียงเกือกม้าไกลออกไป ผมวิ่งต่อผ่านป่ากลับไปถึงบ้านลุง พอเข้าบ้านมาได้ ผมล็อกประตู เข่าอ่อนทรุดลงนั่งกับพื้นตรงนั้นเอง
ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และคืนนั้นนอนไม่หลับเลยทั้งคืน ในหัวเอาแต่คิดถึงปีศาจร้ายตนนั้น มันจะต้องเป็นตัวการที่สร้างรอยแผลบนไหล่ซ้ายของพ่อผมแน่
พอรุ่งเช้ามาถึง ผมเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ลุงฟัง และความเชื่อของผมที่ว่ามันเป็นปีศาจตนเดียวกันนี้เองที่ทำร้ายพ่อผมในวันนั้น
ลุงหน้าซีด พยักหน้าช้าๆ และบอกว่าต้องใช่แน่แล้ว เขาบอกผมว่าสิ่งที่ผมได้เผชิญหน้ามาเมื่อคืนคือนัคเคลาวี (Nuckelavee) อสูรมหาสมุทรโบราณที่คุกคามชาวโอคนีส์ ตั้งแต่สมัยชาวไวกิ้งมาถึงเป็นครั้งแรก
ลุงบอกว่า อสูรตนนี้จะโผล่มาล่าเหยื่อและคร่าชีวิตมนุษย์ในคืนฤดูหนาว มันกลัวน้ำจืด และว่าผมทำถูกแล้วที่สาดน้ำฝนใส่มัน
ตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา ว่ากันว่าถ้าเหยื่อคนไหนรอดชีวิตจากการเผชิญหน้ากับมันไปได้ ก็จะถูกมันตามเฝ้าอยู่ห่างๆ เพื่อรอจังหวะเข้าจู่โจมอีกครั้ง ลุงบอกว่าเขาไม่เคยเชื่อในตำนานนัคเคลาวีมาก่อน คิดว่าเป็นแค่ตำนานน่ากลัวที่เล่าต่อๆ กันมาเท่านั้น เขาบอกให้ผมรีบเก็บข้าวของออกไปจากโอคนีส์เพื่อความปลอดภัย แล้วอย่าได้กลับมาที่นี่อีก
ลุงขับรถพาผมไปส่งที่เรือเพื่อรอกลับบ้าน ตอนโบกมือลา ผมมองไปที่ชายฝั่งและสาบานได้ว่าเห็นนัคเคลาวีจับตามองผมอยู่ไกลๆ ดวงตาลุกโชนอย่างเคียดแค้น
วันนี้ ผมอาศัยอยู่ในรัฐอริโซน่า ห่างไกลจากชายทะเลทุกแห่งและยังติดต่อกับลุงอยู่ คำเตือนจากผมก็คือ อย่าได้ไปเที่ยวชายหาดในช่วงฤดูหนาวเด็ดขาด
*จบ**
0 ความคิดเห็น