ตอนคบกับบัว เราสองคนตกลงกันว่าจะไม่มีลูก เพราะทั้งผมและบัวเป็นเด็กกำพร้า ไม่เคยได้รับความรัก ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตาพ่อและแม่เลยมาจนถึงทุกวันนี้ พวกเราจึงไม่แน่ใจว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ดีได้
ตลอดมา เราทำหน้าที่เป็นทั้งคู่รักและผู้ปกครองของกันและกัน เพราะไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน
ดังนั้น ตอนบัวมาบอกผมว่าเธอท้อง ผมถามเธอว่าจะทำยังไงต่อไปและเธอบอกว่าจะเก็บเด็กเอาไว้ ผมจึงเดินจากมาโดยไม่หันหลังกลับไปมองอีก ไม่ใช่เพราะผมไม่แคร์ แต่เพราะผมคิดมาตลอดว่าเราส่งคนเห็นพ้องกันเรื่องการจะไม่มีลูกและเคยตกลงกันเรื่องนี้ไว้แล้วก่อนหน้า เพราะฉะนั้น ถ้าเธออยากจะเก็บเด็กเอาไว้ นั่นก็เป็นการตัดสินใจของเธอ ส่วนตัวผมก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่าจะไม่มีลูก
เราตัดความสัมพันธ์กันหลังจากนั้น
สิบสี่ปีผ่านไป ผมได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลในจังหวัดว่าบัวเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ "เอก" ลูกชายผมไม่เหลือใครนอกจากผมที่เป็นพ่อแท้ๆ และเจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์เด็กอยากรู้ว่าผมเต็มใจจะรับเลี้ยงเอกหรือไม่
ผมตัดสินใจรับลูกมาเลี้ยง..
ผมไปรับเอกที่สถานสงเคราะห์ เอกร่างซูบผอมสีหน้าเศร้าหมอง ผมเข้าใจดี ขนาดผมที่จากบัวมากว่าสิบปีได้ยินข่าวว่าเธอจากไปยังเศร้าขนาดนี้ แล้วลูกแท้ๆ ที่อยู่กับแม่มาตลอดตั้งแต่เกิดจะเศร้าขนาดไหน..
ผมพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกรู้สึกดีขึ้น แต่ทุกวันก็เหมือนเดิม ลูกผมไม่พูดไม่จา ไม่เล่น ไม่แตะข้าวสักเม็ด แม้ผมจะพยายามทำกับข้าวให้กิน หาซื้ออะไรอร่อยๆ มาฝากเท่าไหร่ก็ตาม สิ่งเดียวที่เขากินคือน้ำเปล่าประทังชีวิต
เช้าวันนี้ก็เหมือนกัน..
"เอก กินสักหน่อยนะ วันนี้พ่อทำข้าวต้ม" ผมพยักเพยิดไปที่ถ้วยข้าวต้มร้อนๆ หอมฉุยที่ผมเข้าครัวทำเองตั้งแต่เช้าตรู่ตรงหน้าลูกชาย "แล้วแขนไปโดนอะไรมา ตกเตียงเหรอเรา?" ผมถาม ตามองรอยเขียวเป็นจ้ำที่แขนลูก ใจนึกถึงเสียงตึงที่ได้ยินเมื่อคืนกลางดึก
เอกมองถ้วยข้าวต้ม มองผมเงียบๆ ก่อนลุกยืนแล้วเดินกลับห้อง
ผมถอนใจ เก็บถ้วยข้าวต้มเข้าตู้กับข้าวก่อนไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน
ตอนกลับถึงบ้านและกำลังเตรียมทำอาหารมื้อเย็น ร่างซูบผอมเดินมาเปิดตู้เย็นแล้วหยิบขวดน้ำ ผมสะดุ้งด้วยความตกใจก่อนถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย ตอนนี้เอกดูเหมือนหุ่นไล่กาไม่มีผิด "นี่.. เมื่อไหร่จะยอมกินข้าวบ้าง ผอมมากแล้วนะเราน่ะ" ผมเอื้อมไปคว้าไหล่เอก เขาหันมองผมด้วยสายตาเย็นชา นั่นเป็นตอนที่ผมเห็นรอยจ้ำเขียวปั้ดที่ตาขวา
"เอก.. ตาไปโดนอะไรมา? โดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งมาหรือไง?"
เอกสะบัดมือผมออกแล้วเดินกลับห้อง
สองอาทิตย์ผ่านไป ตอนนี้เอกยอมกินบ้างแต่ก็เพียงเพื่อประทังชีวิต ร่างกายยังคงซูบผอม น้ำหนักคงลดไปหลายกิโลอยู่ ที่น่าเป็นห่วงคือรอยเขียวช้ำตามตัวที่ดูเหมือนจะมากขึ้นกว่าเดิม
"ไม่ได้การแล้ว วันนี้ยังไงแกก็ต้องไปกับพ่อ พ่อจะพาไปหาหมอ เสร็จแล้วไปที่โรงเรียน ดูซิว่าไอ้หน้าไหนมันตีแก" ผมประกาศ "พ่อรู้ว่าแกเสียใจที่แม่เสีย แต่นี่มันมากเกินไปแล้ว ได้ส่องกระจกดูตัวเองบ้างหรือเปล่า สภาพเหมือนศพเดินได้ขึ้นทุกวันแล้ว!"
เอกยิ้ม.. ก่อนยื่นมือถือมาทางผม
บนจอแสดงภาพบึนทึกวิดีโอของเอกในห้องนอน เขานั่งบนเตียง ใช้มือหยิกตามเนื้อตัว ยกกำปั้นต่อยตาตัวเอง จากนั้นลุกจากเตียงแล้ววิ่งชนกำแพงคอนกรีตดัง ตึง.. ตึง..
ผมอ้าปากค้างตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น
"แม่กูเลี้ยงกูมาตัวคนเดียว วันนึงต้องรับจ็อบ 3-4 จ็อบทั้งที่เป็นโรคหัวใจเพื่อให้กูได้อยู่รอด แม่เหนื่อย เครียด กลางดึกแอบร้องไห้เงียบๆ เพราะคิดถึงมึงมาตลอดหลายปี แม่ทำงานหนักจนตัวตาย แล้ววันนี้มึงจะมาทำเป็นห่วงใยกูด้วยฐานะอะไร? แม่กูตายก็เพราะมึง!" เอกตะคอก นัยตาลุกโชนด้วยความโกรธแค้น
ผมรู้สึกขัดในคอพูดอะไรไม่ออก ตายังมองคลิปในมือถือตอนได้ยินเสียงเคาะที่ประตูหน้า
"เจ้าหน้าที่ตำรวจ เปิดประตู!"
ผมตาเบิกโพลง มองดูลูกชายเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง
"เปิดประตู!! ไม่งั้นจะพังเข้าไปแล้วนะ" ผมได้ยินเสียงตะโกนอีกครั้งดัง ก่อนประตูหน้าพังเข้ามาดัง 'โครม'
ก่อนจะได้ตั้งตัว ตำรวจสองนายเข้ารวบตัวผมแล้วใส่กุญแจมือ "คุณถูกจับกุมข้อหาทำร้ายร่างกายเด็ก"
ผมไม่ได้ขัดขืน ตามองเอกที่ตอนนี้มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงจากสถานสงเคราะห์กำลังเอาผ้าห่มผืนบางคลุมไหล่ให้เขา ลูกผมยืนตัวสั่นเทาตาก้มมองพื้น
ผมยกสองมือที่ถูกใส่กุญแจมือขึ้นตีหัวตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้รู้แล้วว่าต้นเสียงดังตึงๆ กลางดึกคืออะไร และทำไมเอกไม่ยอมกินข้าว
ผมหันไปมองลูกเป็นครั้งสุดท้าย
เขาเหลือบตาลึกโหลขึ้นมองผมพร้อมแสยะยิ้ม
-- จบ --
🚫ไม่อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตจากผู้เขียน
0 ความคิดเห็น