หนังสือ

 


แอนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสอง ‘ต้น’ กับ ‘ต้อง’ ลูกชายทั้งสองของเธออายุห่างกันแค่ปีเดียว ต้นอายุเจ็ดขวบและต้องอายุแปดขวบ 

แอนทำงานเป็นผู้จัดการประจำร้านสะดวกซื้อกะกลางคืน เธอต้องเข้างานตั้งแต่หนึ่งทุ่มยาวไปจนถึงตีสามทำให้ต้องนอนเอาแรงช่วงกลางวัน

เธอจ้างพี่เลี้ยงเพื่อคอยจัดเตรียมอาหารเช้าให้ลูกๆ, ดูแลความเรียบร้อยทั่วไป, และไปรับต้นและต้องที่โรงเรียนกลับมาส่งที่บ้าน

ต้นและต้องเป็นเด็กเรียนดีและรักการอ่าน ทุกคืนวันศุกร์ แอนจะพาลูกๆ ออกไปทานข้าวมื้อเย็นด้วยกันข้างนอกก่อนพากันไปห้องสมุดใกล้บ้านทันเวลาก่อนห้องสมุดปิด เพื่อให้ต้นและต้องยืมหนังสือมาอ่านที่บ้านคนละสองเล่มในยามว่างวันเสาร์-อาทิตย์ โดยเธอจะเป็นคนตรวจดูอีกทีก่อนยืม ว่าหนังสือที่ลูกๆ เลือกนั้นเหมาะสมกับช่วงวัยและไม่มีพิษภัยต่อจิตใจที่ยังเยาว์วัยของพวกเขา

สุดสัปดาห์นี้ พวกเขาพากันไปร้านสเต๊กสุดโปรดใกล้บ้าน เด็กๆ สั่งสเต๊กหมูพอร์คชอปสุกๆ ส่วนแอนสั่งสเต๊กเนื้อราดซอสไวน์แดงไม่ใส่กระเทียม ระดับความสุกแบบบลูแรร์ 

หลังมื้ออาหารแสนอร่อย สามแม่ลูกพากันไปห้องสมุดที่คุ้นเคย

“แม่ฮะ นี่หนังสือที่ผมอยากอ่าน” ต้นกับต้องพูดพร้อมกัน พวกเขาวางกองหนังสือที่กอดไว้กับอกลงบนโต๊ะใกล้ๆ แอนตรวจดูปกหนังสือทั้งสี่เล่ม ‘ความลับของเด็กเกเร’, ‘ปราสาทไร้หลังคา’, ‘วิทยาศาสตร์แสนสนุก’, และ ‘บทสัมภาษณ์ของแวมไพร์’

แอนมองหน้าปกหนังสือเล่มสุดท้ายแล้วนิ่งคิด พวกเขายังเด็กเกินไปหรือเปล่านะกับหนังสือเล่มนี้? 

แต่มาคิดดูอีกที พ่อแม่เดี๋ยวนี้ปล่อยให้เด็กเจ็ดแปดขวบดูอะไรน่ากลัวเยอะแยะเวลาไถมือถือหรือเล่นแท็บเล็ต เธอรู้สึกดีที่อย่างน้อยลูกๆ ของเธอ ก็รักการอ่านมากกว่าการเล่นเกมไร้สาระบนคอมจนติดจองอมแงม

“โอเค เอาไปให้พี่บรรณารักษ์ที่เคาน์เตอร์จัดการได้เลย” เธอบอกลูกๆ “แม่ไปรอที่รถนะ”

ต้นกับต้องที่ถูกสอนมาให้รู้จักจัดแจงเรื่องของตัวเองมาตั้งแต่ยังเด็กประสานเสียงตอบรับอย่างร่าเริง “ครับแม่!”

--

สามวันผ่านไป แอนเริ่มสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของต้นและต้อง จากที่เคยร่าเริง ทั้งสองเริ่มฝันร้ายแทบทุกคืนและเก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง 

เธอคิดโทษตัวเองที่ปล่อยให้ลูกอ่านหนังสือน่ากลัวเกี่ยวกับแวมไพร์

“อาหารไม่ถูกปากเหรอลูก?” แอนถามต้นและต้อง ตามองจานอาหารของลูกๆ ที่ดูเหมือนแทบไม่ได้ถูกแตะต้องเลย ก่อนยกไวน์แดงขึ้นดื่ม

“ผมไม่หิวเท่าไหร่ฮะ” ต้นพูดเบาๆ

“ผมด้วย” ต้องเสริม

“งั้นเดี๋ยวแม่ไปชงไมโลให้ พอแป้บนะ” แอนพูดก่อนลุกจากที่นั่งแล้วเดินเข้าครัวไปต้มน้ำ

“เดี๋ยวนี้เป็นอะไร แม่เห็นซึมๆ” แอนถามตอนเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมไมโลสองแก้วในมือ ก่อนวางมันลงตรงหน้าลูกรักทั้งสอง

ต้นและต้องยิ้มน้อยๆ ก่อนต้องพูดขึ้น “ไม่มีอะไรฮะแม่ สงสัยเล่นเหนื่อยแหละ” 

แอนหรี่ตา “นี่เป็นเพราะหนังสือเรื่องผีดูดเลือดอะไรนั่นใช่มั้ย? ถ้ามันน่ากลัวก็อย่าไปอ่านมันเลย ที่บ้านมีหนังสือกองเป็นภูเขา หาเล่มอื่นอ่านเถอะ”

ต้นกับต้องมองหน้ากัน “เอ่อ.. แม่ฮะ แม่รู้มั้ยว่าทำยังไงถึงจะรู้ว่าคนๆ หนึ่งเป็นผีดูดเลือด?” ต้นถามเสียงแผ่ว

“ไร้สาระใหญ่แล้ว ไปๆ ได้เวลานอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน” แอนตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญที่ลูกๆ คุ้นเคยดี ต้นกับต้องถอนใจ ก่อนลุกจากโต๊ะพากันเดินไปทางห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟันเตรียมตัวเข้านอน 

--

แอนนั่งดื่มไวน์ต่ออีกสักพัก เงยมองนาฬิกาบนผนังก่อนถอนใจ สองทุ่มครึ่งเป็นเวลาที่เธอต้องเดินไปพาลูกเข้านอนทุกคืน เธอกระดกแก้วไวน์เข้าปากแบบรวดเดียวหมด ก่อนลุกเดินไปทางห้องนอนของลูกๆ

ทางเดินไปทางห้องต้นและต่อมืด มีเพียงแสงสลัวสีส้มของไฟถนนส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาจากด้านนอกตัวบ้าน แอนเดินมาถึงประตูห้องนอนของต้นและต้อง เธอบิดลูกบิดแล้วเปิดประตู

ตอนกำลังก้าวผ่านธรณีประตูเข้าไป เธอรู้สึกเหมือนถูกกระแทกรุนแรงแล้วผงะล้มลงกับพื้น ตอนแรกเธอนึกว่าลูกอาจจะปิดประตูกระแทกหน้าเธอด้วยความบังเอิญ แต่พอตั้งสติได้ เธอมองไปที่ประตูและเห็นว่าประตูยังเปิดอ้าอยู่ ไม่ได้ถูกปิดอย่างที่คิดไว้

ในห้อง ทั้งต้นและต้องในชุดนอนกำลังยืนจังก้ามองเธอด้วยสีหน้าหวาดกลัว

“โอ้ ฉลาดนักนะเราน่ะ!” แอนพูดขณะกวาดตามองพวงกระเทียมร้อยเป็นสายยาวห้อยตามกรอบประตูด้านบน และเกลือขาวๆ โรยเป็นแถวยาวบนพื้นกั้นธรณีประตูเอาไว้

“ฉันไม่น่าปล่อยให้พวกแกอ่านไอ้หนังสือบ้านั่นเลย!”

– จบ --

**ไม่อนุญาตให้นำไปเผยแพร่โดยไม่ให้เครดิตผู้เขียน

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น