ผมทนไม่ไหวแล้ว..
พวกคุณอาจจะเรียกผมว่า "ไอ้ชาติชั่ว" แต่คนที่รับรู้เรื่องราวนี้ทั้งหมดและต้องทนทุกข์มาตลอดก็คือผม.. ไม่ใช่พวกคุณ
ผมไม่หวังให้ใครมาเข้าใจ ที่มาเขียนแล้วโพสต์ไว้ที่นี่.. ก็เพราะอยากระบายและอยากจะสารภาพบาปไปพร้อมกันเลย
เพราะงั้น ถ้าคุณพอมีเวลา.. ผมจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟัง
ผมกับแก้วใจแต่งงานกันมาได้แปดปีแล้ว พวกเรามีลูกชายด้วยกันคนหนึ่งชื่อน้องอ้น อายุ ห้าขวบ
ผมทำงานคนเดียวและเมียอยู่บ้านเลี้ยงลูก ชีวิตคู่มีความสุขตามอัตภาพ อย่างน้อย.. ผมก็เชื่ออย่างนั้นในตอนแรก จนวันหนึ่งผมสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของเมีย
มันเริ่มจากสิ่งเล็กๆ อย่างการแต่งเนื้อแต่งตัว อยู่ๆ เมียผมที่แต่งตัวตามสบายเพราะอยู่บ้านเลี้ยงลูกทุกวัน ตอนนี้ ถึงจะไม่มีแผนไปไหนก็แต่งหน้าแต่งตัวตลอด
เมื่อวันก่อนผมแอบชำเลืองมองตอนเธอใช้โทรศัพท์ เมียผมที่เมื่อก่อนไม่เคยล็อกมือถือตอนนี้ใส่ทั้งรหัสล็อกหน้าจอและรหัสล็อกแอปไลน์
การออกไปจ่ายตลาดก็เหมือนกัน ปกติแก้วใจจะไปจ่ายตลาดทุกวันจันทร์ ตั้งแต่สิบโมงเช้าและจะกลับไม่เกินเที่ยง แต่กิจวัตรที่ทำมานานหลายปีที่ว่านี้อยู่ๆ ก็เปลี่ยนไปทีละน้อย กลับบ่ายบ้าง บ่ายสองบ้าง นานๆ เข้า เธอกลับบ้านห้าโมงเย็นล่วงเลยไปสองสามทุ่ม พอถามก็ว่าซื้อของเสร็จก็เลยไปหาเพื่อนบ้าง ไปดูหนังบ้างตามประสา
ตอนแรกผมพยายามไม่คิดอะไรมาก รู้อยู่ว่าผู้หญิงอยู่บ้านต้องทำหน้าที่ดูแลบ้านดูแลลูกมันทั้งเหนื่อยทั้งน่าเบื่อ แถมตอนนี้แม่ของผมมาพักอยู่ที่บ้านด้วยกัน ก็เลยมีคนช่วยดูแลลูกหลังเขากลับจากโรงเรียน
แต่นานๆ เข้า.. ผมก็นึกแคลงใจ
หลังคิดไตร่ตรองอยู่พักใหญ่ ผมขอหัวหน้าลาหยุดล่วงหน้าหนึ่งวัน พอวันจันทร์เวียนมาถึงอีกครั้ง ผมอาบน้ำแต่งตัวขับรถออกจากบ้านทำทีเหมือนไปทำงานตามปกติ แต่ที่จริงไปจอดรถแอบไว้หลังร้านขายก๋วยเตี๋ยวคนรู้จัก นั่งรอเวลาสิบโมงเช้าอย่างใจเย็น ก่อนแอบสะกดรอยตามแก้วใจไปจ่ายตลาด
ทุกอย่างดูปกติดี จนกระทั่งเมียผมแวะไปซื้อผลไม้ ไอ้หนุ่มหน้ามนที่แผงขายทุเรียนมีท่าทีแปลกพิกล ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แถมแตะมือแก้วใจอยู่หลายหน..
ไม่นานไอ้หมอนั่นหันไปพูดอะไรสองสามคำกับลูกน้องแล้วหายไปหลังตลาดกับเมียผม ข้าวของทุกอย่างที่เธอซื้อก่อนหน้านี้ถูกวางทิ้งไว้ที่ร้านทุเรียน
ผมย่องตามพวกเขาไปห่างๆ รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เหมือนจะเป็นลม ทั้งสองพากันไปที่เพิงเล็กๆ หลังตลาด หัวเราะคิกคักหยอกล้อกันไปมาก่อนหายเข้าไปข้างใน
สองชั่วโมงหลังจากนั้น เป็นสองชั่วโมงที่เชื่องช้าที่สุดในชีวิต จากช่องแคบระหว่างฝาบ้านผุๆ ผมมองดูพวกเขาสองคนเล่นรักกันดุเดือด พอหนำใจแล้ว ทั้งเขาและเธอนอนกอดก่ายพลางดูทีวีกันสบายใจ
นี่สินะ.. ที่ว่าไปดูหนัง
ขากลับ ผมเดินผ่านตลาดแล้วแวะซื้อฆ้อนที่ร้านขายของชำ จากนั้นขับรถไปที่ตรอกมืดใกล้บ้านซึ่งปกติเป็นทางลัดที่เมียผมใช้เดินกลับบ้านหลังลงจากสองแถวกลับจากตลาด แล้วปิดเครื่องรอ
พอเห็นเงาเมียเดินเข้ามาใกล้ ผมกระพริบไฟหน้าก่อนเดินลงจากรถ
"อ้าวพี่ มาทำอะไรที่นี่เนี่ย แล้วนั่นซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง?" แก้วตาถามสีหน้าหวาดระแวง
ผมเงื้อฆ้อนในมือขึ้นสูงก่อนหวดเต็มแรง..
ไม่น่าเชื่อว่าร่างบางๆ อย่างแก้วตาจะหนักน่าดู ผมลากเธอลงข้างทางรกชันอย่างทุลักทุเล ตรอกนี้ทั้งรกทั้งมืด กว่าจะมีใครผ่านมาพบศพก็คงอีกหลายวัน
พอกลับถึงบ้าน อ้นลูกผมกำลังเล่นอยู่กับย่า
"กินข้าวกินปลาหรือยังอ้น?" ผมถามลูกก่อนยกมือไหว้แม่ผม
"กินแล้วฮะ" อ้นตอบ มองผมนิ่งๆ ก่อนหันไปเล่นต่อ
ผมเดินเข้าห้องไปอาบน้ำ
อาทิตย์หนึ่งผ่านไปแล้ว ลับหลังหลาน แม่ถามว่าแก้วตาหายไปไหนด้วยความเป็นห่วง ผมบอกแกไปว่าแก้วตาไปเยี่ยมเพื่อนที่เพิ่งคลอดที่ต่างจังหวัด แม่ผมเองก็มีเหตุให้ต้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเหมือนกันเมื่อสามวันก่อน บอกว่าเดือนหน้าจะมาเยี่ยมใหม่ ตอนนี้ผมเลยต้องอยู่กับลูกสองคน
ผมนึกกลัวว่าลูกจะถามหาแม่แต่ก็เปล่าเลย พวกเราใช้ชีวิตกันตามปกติ และผมกลับจากทำงานทันไปรับลูกทุกวัน
จนกระทั่งคืนหนึ่งตอนผมกับลูกนั่งกินข้าวด้วยกันในบ้าน ลูกมองผมด้วยสีหน้าแปลกชอบกล ก่อนถาม "พ่อฮะ ทำไมพ่อแบกแม่ไว้บนบ่าทุกวันเลยล่ะฮะ?"
-- จบ --
**ไม่อนุญาตให้นำไปเผยแพร่โดยไม่ให้เครดิตผู้เขียน
0 ความคิดเห็น