ความทรงจำแรกของผมคือผู้หญิงคนนั้น
มันเป็นวันอากาศดีที่ชายหาด ตอนนั้นแม่ผมนอนอาบแดดแล้วผล็อยหลับไป ส่วนพ่อกำลังเดินไปซื้อไอศครีมมาให้เรากินกัน ผมหันไปเห็นนกหน้าตาประหลาดตัวหนึ่งเลยเดินตามนกตัวนั้นห่างออกมาจากชายหาด ไม่ได้ไกลมากนัก แต่ก็ไกลพอที่ผมจะมองไม่เห็นชายหาดอีกต่อไป และที่นั่น.. มีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ในพงหญ้า
เธอมองผมด้วยดวงตาแข็งกร้าว หอบหายใจ ปากพะงาบเหมือนปลาขาดน้ำ ทำเสียงบ็อบๆ ทุกครั้งที่ปากพะงาบเปิด
ผมคงยืนอยู่ตรงนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงได้ ผมจำไม่ได้หรอกว่ากำลังมองดูเธอตาย จำได้แค่ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งพาผมกลับมาหาพ่อกับแม่ ทุกคนที่นั่นพากันร้องไห้และกรีดร้องเสียงดัง และแม่กอดผมไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก
แต่ลึกๆ ในใจผมแล้ว เสียงนั้นไม่เคยหายไปไหน ปากเธอที่พะงาบเปิดปิด.. แต่ไม่มีอากาศผ่านเข้าปอด..
บ็อบ..
บ็อบ..
เรื่องนั้นผ่านไปหลายปีแล้ว ตอนนี้ผมอายุ 20 ปลายๆ เรียนจบมัธยมปลาย ได้ปริญญาจาก WVU และย้ายกลับมาอยู่บ้านหลังเดิมในเมืองเล็กๆ ของเวสต์เวอร์จิเนีย
พ่อกับแม่ผมแยกทางกันนานแล้ว แม่ย้ายไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย ส่วนพ่อก็แต่งงานใหม่ก่อนย้ายไปอยู่รัฐมิชิแกน ผมซื้อบ้านเก่าของพวกเราไว้ในราคาถูกแสนถูก และทำงานแบบ work from home ในตำแหน่งค่อนข้างดี ทำให้ผมได้มีโอกาสใช้ชีวิตสุขสบายในเมืองที่ผมคุ้นเคยแห่งนี้
เมืองจูนิเปอร์ไม่มี "ตัวเมือง" เหมือนที่อื่นๆ มีแค่ช่วงถนนที่ออกจะใหญ่กว่าถนนสายอื่นซึ่งบังเอิญมีร้านรวงต่างๆ อยู่แถวนั้น ไม่ได้มีการวางผังเมืองไว้ดีอะไรมากมาย แต่แถวนั้นมีร้านอาหาร/ผับอยู่แห่งหนึ่งที่ทำอาหารอร่อยและมีสาวเสิร์ฟคนหนึ่งหน้าตาสะสวยถูกใจผม ผมไปที่นั่นอาทิตย์ละสองครั้ง ไปคุยจีบสาวเสิร์ฟคนสวยด้วย ไปกินฮอทด็อกอร่อยๆ ด้วย (เธอชวนผมคุยก่อนนะ ผมไม่ใช่พวกโรคจิตหรืออะไร)
นั่นเป็นตอนที่ทุกอย่างเริ่มขึ้น..
ผมกำลังนั่งกินฮอทด็อก ใจกำลังคิดว่าควรจะทิปเท่าไหร่ดีเพื่อให้พนักงานเสิร์ฟคนสวยนั่งคุยกับผมนานขึ้นอีกหน่อย ตอนนั้นเอง ท้องผมขมวดเป็นปมแน่นเหมือนเพิ่งกลืนก้อนน้ำแข็งเข้าไปทั้งก้อน จากนั้นรู้สึกจั๊กจี้ที่ข้างหูเหมือนใครบางคนเป่าลมใส่หูเบาๆ ผมมองเห็นรูปร่างเลือนลางของอะไรบางอย่าง (หรือใครบางคน) ในกระจกเงาข้างหลังพนักงานเสิร์ฟสาวสวย และได้ยินดังชัดเจน
บ็อบ..
ผมกระโดดพรวดจากเก้าอี้ จานชามและแก้วเครื่องดื่มกระจัดกระจายเต็มพื้น ใจเต้นเร็วแรงไม่เป็นจังหวะ
สองสามวินาทีผ่านไปผมถึงรู้ตัวว่าทุกคนรอบตัวต่างเงียบกริบมองผมงงๆ ผมยืนทื่ออยู่กลางร้าน มีเพลงแจ๊สบรรเลงเบาๆ ในพื้นหลังขณะรูทเบียร์ของผมซึมลงตามร่องพื้นไม้ ทุกคนรวมทั้งชายแก่คนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นลูกค้าประจำของร้านมองผมตาไม่กระพริบ
ก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยคิดถึงความทรงจำครั้งแรกนั่นเลย มันถูกฝังลึกสุดอยู่ในความทรงจำเหมือนกับเสียงเพลงประกอบรายการวิทยุสมัยเด็กที่เคยได้ฟังทุกวัน และวันหนึ่งมันดังมากระทบหูและกระตุ้นความทรงจำเก่าๆ ของเรา
แต่ในช่วงเวลานั้น และจากเวลานั้นเป็นต้นมา ความทรงจำนั้นถาโถมกลับมาหาผมชัดเจนครบทุกรายละเอียด
จุดสีดำขนาดเท่ารูเข็มในดวงตาดำของเธอ หน้าอกกระเพื่อมชักรุนแรง ผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงพันกับพุ่มไม้ และเสียงนั้น.. ถึงผมจะสูญเสียความทรงจำแล้วลืมชื่อตัวเอง ก็ไม่มีทางจะลืมเสียงนั้นได้ เสียงของระบบร่างกายที่กำลังจะตายพยายามหายใจเข้าปอดที่ล้มเหลว บังคับให้ริมฝีปากที่เย็นชืดแยกออกจากกัน
บ็อบ
บ็อบ
บ็อบ
ผมช่วยพวกเขาทำความสะอาดจากนั้นรีบกลับออกมาจากร้าน รู้สึกขายหน้าเกินกว่าจะทนอยู่ต่อได้ พวกเขาต่างบอกว่าไม่เป็นไร และถามผมว่ามีอะไรหรือเปล่า แต่ผมอธิบายให้พวกเขาฟังไม่ถูก ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและต้องการเวลาคิดคนเดียวสักพัก ชีพจรผมเต้นแรงจนเจ็บอกและหน้าผมร้อนผ่าวไปหมด
ผมกลับขึ้นรถ พยายามคาดเข็มขัดนิรภัยแต่มือสั่นรุนแรง รู้สึกทั้งกลัวทั้งโมโหและหงุดหงิด ผมทุบพวงมาลัยปากร้องตะโกนโหวกเหวกอยู่พักใหญ่ในรถ พอใจเย็นขึ้น ผมบอกตัวเอง
"ตั้งสติ.. ตั้งสติก่อน"
ผมเลือกถนนเส้นที่ยาวกว่าเพื่อขับกลับบ้านจะได้ไม่ต้องขึ้นทางด่วน เพราะยังไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าตัวเองโอเคดีแล้ว ผมไม่อยากให้คนอื่นบนถนนต้องเป็นอันตรายไปด้วย
มีคำถามเป็นร้อยผ่านเข้ามาในหัวผมตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? แล้วอะไรทำให้เสียงบ้าๆ นั่นกลับเข้ามาในชีวิตผมอีกครั้ง?
ผมกลับถึงบ้าน รินไวน์แดงให้ตัวเองก่อนถือแก้วไปนั่งขดบนโซฟาห้องรับแขกตามองไปที่สวนหลังบ้าน ลมพัดต้นเมเปิ้ลไหวเบาๆ ทำให้ผมผ่อนคลายมากพอจะโทรหาพ่อ
พ่อผมเป็นคนร่าเริงมาแต่ไหนแต่ไร เขาชอบเปลี่ยนทุกอย่างที่เราคุยกันเป็นเรื่องตลก ผมไม่อยากหยิบเรื่องน่ากลัวในอดีตขึ้นมาพูดเลย แต่ก็จำเป็นต้องทำ พอผมถาม พ่อเงียบไปนานเกือบสิบวินาที ผมได้ยินแค่เสียงทีวีในแบ็คกราวน์แว่วมาตามสาย
"ลูก.. ลูกจำได้เรื่องนั้นได้เหรอ?"
ผมเงียบ รอให้พ่อตอบคำถาม พ่อถอนหายใจหนักๆ ก่อนบอกผมทุกอย่าง
แซลลี่ อัลเจอร์ อายุ 19 ปี วันนั้นเธอไปตั้งแคมป์พักผ่อนกับครอบครัวแต่ถูกฆาตกรรมอย่างทารุณกลางวันแสกๆ เธอถูกแทงแล้วปล่อยให้เลือดออกจนตาย สาเหตุการตายที่แท้จริงของเธอคือ "ขาดอากาศหายใจ" เพราะเลือดที่ท่วมในปอดทำให้เธอไม่สามารถหายใจได้ ฆาตกรที่ตอนนั้นอายุ 31 ปี เป็นชายชื่อโจนาห์ มอร์ลีย์ เขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต หนึ่งอาทิตย์ก่อนเกิดเรื่อง มีคนเห็นเขาชวนแซลลี่คุยอยู่สองสามครั้ง และอาวุธสังหารถูกพบในล็อกเกอร์ของเขา
"พ่อเสียใจด้วยนะที่ลูกจำเรื่องนี้ได้" เขาถอนใจ "คิดว่าตอนนั้นลูกยังเด็กเกินกว่าจะจำอะไรได้เสียอีก"
เราคุยเรื่อยเปื่อยกันอีกสองสามสาทีก่อนวางสาย
ตอนนั้นเอง ผมรู้สึกเย็นวาบลงไปตามสันหลังตอนเหลือบตาขึ้นมองต้นเมเปิ้ล มีบางอย่างกำลังมา มันกำลังมา..
มีบางอย่างอยู่ที่นั่น
บ็อบ..
ความโกลาหล ตื่นตระหนก และหวาดระแวง มันมาจากไหนกัน? ทำไมมันเกิดขึ้นตอนนี้? ผมต้องคว้าจับแก้วไวน์ไม่ให้ร่วงจากโต๊ะกาแฟตอนลุกขึ้นยืน
----
สองสามวันหลังจากนั้น มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมคิดถึง ผมได้ยินเสียง "บ็อบ" บ่อยขึ้นเรื่อยๆ ทั้งตอนไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ตอนเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ และตอนมันดัง ผมหยุดตัวเองไม่ให้ตื่นตระหนกไม่ได้ จะเอามือปิดหู หรือไม่ก็ร้องลั่นด้วยความตกใจ โบกมือไปมาเหมือนกำลังไล่แมลงหรือผึ้งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และทุกครั้งที่มีคนเห็นผมในช่วงเวลาแบบนั้นมันยิ่งทำให้ผมเครียดหนัก ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องผม เหมือนกันกับสายตาผู้หญิงคนนั้นก่อนตายที่ต้องมองผมด้วยจุดสีดำเล็กๆ ในตาดำของเธอ ลุงแก่ๆ ที่ร้านอาหารนั่นเห็นผมเป็นแบบนี้สามครั้งได้แล้วมั้ง เขาคงคิดว่าผมป่วยเป็นโรคจิตแน่ๆ
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้ยินเสียงบ้านั่นตอนขับรถบนนไฮเวย์ ผมต้องพยายามบังคับรถไม่ให้พุ่งออกนอกทางตอนขับด้วยความเร็ว 120 กม. ต่อชั่วโมง พอหยุดรถได้ ผมซบหน้าลงกับพวงมาลัยแล้วร้องไห้ สัญญากับตัวเองว่าจะต้องหยุดเรื่องบ้าๆ นี่ให้ได้ ผมจะต้องทำอะไรสักอย่าง
----
ผมมีเพื่อนสองสามคนในเมืองนี้ หนึ่งในนั้นคือดาร์เรน เพื่อนสมัยวิทยาลัย พวกเราย้ายกลับมาที่เมืองจูนิเปอร์นี่ด้วยกัน แต่ตอนนี้ห่างๆ กันไปเพราะเขาเพิ่งแต่งงานและเมียกำลังจะคลอดลูกในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว
แต่พ่อของดาร์เรนทำงานเป็นเจ้าหน้าที่เรือนจำ และโจนาห์ มอร์ลีย์ถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำนั้นพอดี ผมโทรหาเขาและขอให้เขาช่วยให้ผมได้เจอกับฆาตกร ผมคิดว่าการได้คุยกับคนที่ก่อให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นอาจช่วยได้ บางทีถ้าได้พบเขา จิดใจผมอาจจะสงบขึ้นได้บ้าง เหมือนอย่างเวลาที่มีเพลงนึงเล่นอยู่ในหัวเราซ้ำๆ การได้ฟังเพลงนั้นอีกครั้งอาจจะทำให้เราหยุดคิดถึงมันได้ในที่สุด
-----
มันเป็นวันพฤหัสที่ลมแรง ผมไปพบพ่อของดาร์เรนที่ลานจอดรถเรือนจำและเขาพาผมเข้าไปข้างใน ผมเซ็นชื่อผู้เข้าเยี่ยม ฝากข้าวของที่อาจเป็นอันตรายไว้ข้างนอก
ผมเดินผ่านเครื่องตรวจจับโลหะและเดินต่อไปตามทางเดินคอนกรีตยาว หูได้ยินเสียงลมหวีดหวิวข้างนอก เหมือนจะย้ำเตือนว่าความจริงกำลังรอผมอยู่ พอพ่อของดาร์เรนไขประตูเรือนจำ ผมรู้สึกเหมือนไม่ควรมาที่นี่ เหมือนอยากจะวิ่งหนีออกไปตอนนี้เลย ผมไม่อยากคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีก
แต่ผมจำเป็นต้องทำ..
โจนาห์ มอร์ลีย์อายุ 57 ปี เขาเข้าออกคุกอยู่หลายต่อหลายครั้ง ชายที่นั่งตรงกันข้ามกับผมตอนนี้ดูเหมือนนักบัญชีที่เป็นโรคซึมเศร้า ผมบลอนด์หยักโศกถูกตัดสั้นติดหนังหัว ดวงตาสีดำมองผมตาไม่กระพริบ
"ฉันไม่ได้ฆ่าเขา" เขาถอนใจ
ผมนิ่งฟังอย่างงงๆ
"เธอคือครอบครัวของสาวคนนั้นใช่หรือเปล่า? อยากถามฉันสินะว่าทำไมฉันถึงฆ่าแซลลี่ เธอเสียเวลาเปล่าแล้วล่ะ" เขาพูดต่อ
"ผมไม่ใช่ครอบครัวของเธอ" ผมพูด "แต่ผมเอ่อ.. ผมอยู่ที่นั่น"
โจนาห์นั่งเงียบๆ สักพักแล้วขมวดคิ้ว เขาโน้มตัวมาข้างหน้า ดวงตาเบิกกว้างเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้
"งั้นเธอ.. เธอก็รู้สินะ" เขาผงกหัว "เธอ.. เธอรู้ว่าฉันไม่ได้ทำ นี่เธอ.. เธอได้เห็นคนทำหรือเปล่า? ไอ้ฆาตกรตัวจริงน่ะ?"
"ปะ.. เปล่าครับ ผมไม่เห็น" ผมพูด "ผมแทบจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย แต่ผม.. ผมอยู่ที่นั่นตอนนั้น"
โจนาห์เอนไปด้านหลังพลางครุ่นคิด เขาหรี่ตามองผมพยายามคิดหาคำพูด
"เธอ.. เธอคือเด็กคนนั้น"
"ใช่ฮะ" ผมพยักหน้า "นั่นผมเอง"
สีหน้าเขาแสดงความเจ็บปวด "แย่เลย น่าสงสาร ตอนนั้นเธอตัวเล็กนิดเดียว" เขาโน้มตัวมาข้างหน้าอีกครั้ง "ภาพคงติดตาน่าดูสินะ เธอคงกลัวน่าดู"
"ครับ" ผมพยักหน้า "นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมมาที่นี่ พยายามจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่"
"ฉันไม่รู้จะบอกอะไรเธอ" เขายักไหล่ "ฉันไม่ได้ทำ.. ไม่ได้ฆ่าใคร วันนั้นแค่เมายาอยู่หลังห้องแต่งตัว"
"แต่พวกเขาเห็นคุณคุยกับเธอ" ผมพูด "แถมยังมีมีดด้วย"
โจนาห์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วถอนใจ "เธอคุยกับฉัน ฉันก็ผู้ชายคนหนึ่งนะ แต่ฉันมีแฟนอยู่แล้ว นี่ไง"
เขาดึงเสื้อขึ้นให้ผมดูลายสักคำว่า "มิลลี่" หยาบๆ
"คนรักฉันเอง รักมาก ไม่เคยคิดนอกใจ แต่บางครั้งพอเราคุยกับสาวสวย คนอื่นผ่านมาเห็นก็เริ่มคิดไปต่างๆ นานา หาว่าเราเป็นโรคจิตหรืออะไรเทือกนั้น"
ภาพของสาวเสิร์ฟคนสวยที่ร้านประจำผมปรากฎขึ้นในใจ ผมเข้าใจที่เขาพูดนะ
บทสนทนาของเราไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรอื่นเพิ่มเติมกับผม แต่วันนั้นทั้งวันผมไม่ได้ยินเสียงบ็อบนั่นอีกเลย บางทีการได้คุยกับเขาอาจช่วยผมได้มากกว่าที่คิดไว้
ผมลางานสองสามวันเพื่อดูอาการ และมันเป็นสองสามวันที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ผมเริ่มรู้สึกเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง แถมยังนอนหลับได้ก่อนเที่ยงคืนอีกด้วย ตอนนี้ผมอาบน้ำได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะสะดุ้งจนหัวกระแทกพื้นอีก
ผมเลยคิดว่าจะลองไปที่ร้านอาหารในเมืองดูอีกครั้ง บางทีคราวนี้ผมอาจจะถามชื่อเด็กเสิร์ฟสาวสวยคนนั้น ผมตัดสินใจจะไปตอนใกล้ปิดร้าน จะได้มีคนไม่เยอะนัก
ผมไปที่ร้านอาหารประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนร้านปิด ท้องฟ้ามืดแล้วและลมพัดแรง ผมเห็นเธอคนนั้นยังคงทำงานอยู่ในร้าน ผมเดินเข้าร้านและสั่งฮอทด็อก ถ้าใจกล้าพอ ผมอยากจะขอให้เธอไปกินไอศครีมด้วยกันสักครั้ง
ช่วงร้านใกล้ปิด สาวเสิร์ฟคนสวยเริ่มเตรียมการปิดร้าน มันมีตู้โชว์ใกล้หน้าต่างตู้หนึ่งที่เธอปิดมันไม่ได้เพราะกุญแจคล้องติดขัด เธอลองปิดมันอยู่พักใหญ่จนกระทั่งลุงแก่ๆ ลูกค้าประจำเดินไปช่วยเธอ
และพอกุญแจคลิกปิด อีกเสียงดังขึ้นพร้อมกัน
บ็อบ..
คราวนี้ผมร้องลั่นแล้วกระโดดลุกจากเก้าอี้สองมือดึงทึ้งผมบนหัว พอเหลือบไปมองสาวเสิร์ฟคนสวยกับชายแก่ ผมเห็นอีกร่างยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา
ผู้หญิงผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิง..
ปากพะงาบเปิดปิดเหมือนปลาขาดน้ำ
กำลังมองผมด้วยจุดสีดำในตาดำขนาดเท่ารูเข็ม
บ็อบ..
บ็อบ..
ผมวิ่ง.. วิ่งและวิ่ง..
บ็อบ..
เสียงนั่นดังขึ้น ทำเอาผมเย็นสันหลังวาบ มือเท้าผมชาไปหมดทำเอาวิ่งสะดุดนู่นนี่ทุลักทุเล
บ็อบ..
ผมถลาล้มลงในตรอกใกล้ๆ อ้วกออกมาหมดไส้หมดพุง
แต่มันไม่หยุด มันไม่ยอมหยุด..
เธออยู่ที่นั่น ผมเงยขึ้นมองจากพื้นเห็นสองเท้าซีดๆ ยืนอยู่ใกล้ๆ จมูกได้กลิ่นเลือดและดอกไม้ป่า
บ็อบ..
ผมถอยหนี แล้วหันออกวิ่งเต็มกำลัง หูได้ยินเสียงเธอตามมาข้างหลัง ผู้คนจากอีกด้านของถนนพากันมองผมงงๆ ขณะผมวิ่งกลับไปที่รถ เปิดประตูขึ้นนั่งแล้วล็อกประตู เอามือปิดหูปิดตามั่วไปหมด
ผมยังได้ยินเสียงแซลลี่
บ็อบ..
บ็อบ..
ร่างเน่าเฟะกระตุกรุนแรงปัดโดนเบาะนั่งผมจากด้านหลัง
"ไปให้พ้น!" ผมตะโกน "ไปให้พ้น!!"
ผมหันไปมอง
ไม่มีอะไรอยู่ข้างหลังนั่น..
ผมนั่งอยู่ตรงนั้นพยายามตั้งสติประมาณสิบห้านาทีได้ ในหัวคิดว่าควรทำยังไงดี ผมจะใช้ชีวิต่อไปแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่อยากอยู่กับความกลัวไปตลอดชีวิต ผมต้องทำอะไรสักอย่าง
ผมลงจากรถ ร้านอาหารปิดแล้วแต่ผมอยากอธิบายตัวเองให้คนที่นั่นฟัง ผมเดินวนกลับไปหลังร้าน อยากจะพูดอะไรสักอย่างกับใครสักคนที่นั่น อะไรก็ได้..
แต่ไม่มีใครเลย ลานจอดรถว่างเปล่า ผมสบถด่าตัวเองที่โง่เง่า รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกโรคจิต คำพูดของมอร์ลีย์ดังอยู่ในหู ผมคงดูเหมือนเขาอยู่ไม่น้อย ผู้ชายที่เอาแต่คิดถึงสาวสวย
ตอนนั้นเอง ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
เป็นความคิดที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย
...
ผมก้มลงไปมองตัวรถ ล้อรถหน้าข้างซ้ายแบน.. ผมก้มลงไปใกล้อีกนิด
ผมไม่ใช่มืออาชีพ แต่มันดูเหมือนใครบางคนเอาของมีคมกรีดล้อรถผม
ผมยืนคิดอยู่ตรงนั้นสักพัก มีดที่เป็นหลักฐานมัดตัวโจนาห์ถูกพบในล็อกเกอร์ของเขาเอง มีคนเห็นเขาพูดคุยกับแซลลี่สาวสวยผู้ตายในที่สาธารณะสองสามครั้ง และเขาถูกตราหน้าว่าเป็นพวกโรคจิตที่ชอบตามติดสาวสวย
สถานการณ์มันคล้ายกันเกินไป.. คล้ายกันจนน่ากลัว..
พอผมมองไปทางอีกด้านหนึ่งของลานจอดรถ แซลลี่ อัลเจอร์ยืนอยู่ตรงนั้นใต้เสาไฟถนน
เธอไม่ได้ทำเสียงบ็อบๆ เหมือนที่เคย
แค่ชี้ไปทางถนนเส้นหนึ่งข้างหน้า
คราวนี้ผมฝืนความกลัวของตัวเองแล้วออกวิ่งไปตามทางที่แซลลี่ชี้ เลือดร้อนๆ ค่อยๆ ดับความรู้สึกเย็นวาบในท้องไปสิ้น มันสูบฉีดในตัวผมเหมือนเครื่องยนต์ไอน้ำ ผมวิ่งไปตามถนนเลนเดียว มุ่งหน้าไปทางกลุ่มบ้านหลังเล็กๆ ในพื้นที่ เสียงรองเท้าผมกระทบพื้นฟุตบาทเป็นจังหวะให้ความสงบกับผมอย่างประหลาด จังหวะหายใจของผมคงที่มากขึ้นเรื่อยๆ
หายใจเข้า-ออก, เข้า-ออก,..
พอวิ่งผ่านเสาไฟอีกต้น
แซลลี่ชี้ไปอีกทางหนึ่ง ผมวิ่งต่อไปตามทางลูกรังขนาดเล็กในป่ามืดผ่านต้นเมเปิ้ลไม่ไกลจากบ้านผมนัก ในหูได้ยินเสียงคนคุยกัน เสียงผู้หญิงกับเสียงชายแก่
จากนั้นเสียงกรีดร้อง
พอมาถึงทางเลี้ยว ผมเห็นสาวเสิร์ฟคนสวยจากร้านอาหารและชายแก่ลูกค้าประจำ คนเดียวกับที่ช่วยเธอปิดตู้โชว์ในร้านเมื่อกี้ คนเดียวกับที่มองตาผมตรงๆ ครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงบ็อบ เขาต้องเป็นคนแถวนี้ ผมเห็นเขาในเมืองบ่อยๆ
ใช่แล้ว แซลลี่อยากให้ผมมาที่นี่เพื่อเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
เขามีมีดในมือ
สาวเสิร์ฟใช้มือสองข้างประคองหน้าท้อง ยืนโซเซอยู่ตรงนั้น
ผมวิ่งเข้าใส่เขา ไม่เชิงว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบเพราะถึงเขาจะอายุมากกว่าแต่มีร่างกำยำ เขากระแทกหัวใส่หน้าผมทำเอาผมมึนไปชั่วขณะผงะหงายไปข้างหลัง
"แกเป็นใคร?! เห็นจ้องฉันหลายครั้งแล้ว จ้องฉันทำไม?!" เขาตะคอกก่อนแทงเข้าต้นแขนผม
“แกจ้องฉันทำไม?!” เขาถามซ้ำๆ ไม่หยุด
เขาเตะผมแล้วกระแทกหน้าผมเข้ากับเสาไฟฟ้า ผมทรุดลงไปกองกับพื้นมือยังประคองแขนที่ถูกแทง ตาหันมองหาอะไรสักอย่างเป็นอาวุธ แต่รอบตัวตอนนั้นไม่มีอะไรเลย
ชายแก่มองผมอีกครั้ง และตอนนั้นเองสีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความตระหนักได้ บางที..ตอนนี้ผมอาจจะมองเขาในแบบเดียวกันกับที่ผมมองเขาวันนั้น.. เมื่อหลายปีก่อน
เราสองคนรู้จักกัน.. เขาเป็นคนพาผมกลับไปหาพ่อกับแม่ในวันนั้น..
ในจังหวะที่ต่างคนต่างลังเล ไฟถนนเกิดกระพริบปิด
และพอไฟกระพริบติดอีกครั้ง เธออยู่ตรงนั้น
แซลลี่ อัลเจอร์ ยืนผมยุ่งปลิวไหว ร่างซีดเผือดไม่ขยับเขยื้อน
ชายแก่หันไปมองเธอ
เธอไม่ได้กรีดร้อง ไม่จู่โจม แค่มองเขาแล้วเปิดปาก
บ็อบ..
ชายแก่ทรุดลงกับพื้น ตายคาที่ และไฟดับอีกครั้ง
และแซลลี่หายวับไปกับตา
----
ปรากฎว่าชายแก่คนนั้นชื่อ ปีเตอร์ 'บ็อบ' แฮริแกน เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวนเกษียนอายุที่ได้รับหน้าที่สืบสวนคดีของแซลลี่ อัลเจอร์เมื่อหลายปีก่อน เขารู้จักแซลลี่ดีและสนิทกันกับเธอ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำคดีนั้น เขานี่แหละเป็นคนที่อ้างว่าไปเจอมีดซึ่งเป็นอาวุธสังหารแซลลี่
หลังปิดคดี เขาย้ายออกจากเมืองและเพิ่งย้ายกลับมาบ้านเกิดนี่อีกครั้งหลังเกษียน ตั้งแต่เขาเสียชีวิตวันนั้น ตำรวจค้นพบหลักฐานชัดเจนที่บ่งบอกว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นฆาตกรตัวจริงที่คร่าชีวิตแซลลี่ อัลเจอร์ แต่รายละเอียดต่างๆ ไม่เคยได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชน
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเอามากๆ ผมต้องถูกสอบปากคำและตอบคำถามจากกลุ่มคนที่รู้จัก "บ็อบ" เป็นการส่วนตัว และพวกเขาไม่ชอบขี้หน้าผมนัก แต่สาวเสิร์ฟคนสวยช่วยให้ปากคำเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง นั่นคือคืนนั้นผมได้ยินเสียงเธอกรีดร้องเลยวิ่งไปช่วยในฐานะพลเมืองดีคนหนึ่ง
----
ตอนนี้โจนาห์ มอร์ลีย์ กำลังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาให้พ้นผิดและถูกปล่อยตัว ผมไม่คิดที่จะไปพบเขาอีก แต่ก็ดีใจที่ความจริงได้รับการเปิดเผย ผมหวังว่าเขาจะค้นพบความสงบสุขในใจได้บ้างไม่มากก็น้อย
สำหรับตัวผมเอง ผมได้รู้ชื่อสาวเสิร์ฟคนสวยแล้วล่ะ เธอชื่อ "อีเลน"
และพวกเรานัดจะไปกินไอศครีมด้วยกันอาทิตย์หน้า
**** จบบริบูรณ์ ****
----------------------------------
❤️❤️ Credit: Thank you SATURDEAD, the author of the original story. You are awesome! :)
0 ความคิดเห็น