มีสถานที่แห่งหนึ่งในนิวแฮมเชอร์ ห่างไกลจากความเจริญและฝูงคน
ที่ผมเคยไปเดินป่าคนเดียวบ่อยๆ สิ่งเดียวที่บ่งบอกถึงความเจริญที่มีแถวนี้คือลานหญ้าให้วัวได้พากันมากินหญ้ากัน เพราะนั่นหมายความว่าใครคนหนึ่งแถวนี้เป็นเจ้าของวัว และอาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ
วันหนึ่ง ตอนผมเดินป่าออกกำลังกาย ชายคนหนึ่งวิ่งมาทางผม ปากร้องเรียกให้ผมหยุดรอ
"คุณครับ! คุณครับ! คุณเห็นวัวกี่ตัว? คุณเห็นวัวกี่ตัวครับ?!"
ผมหยุดเดินแล้วหันไปมองเขายิ้มๆ ผมใช้ชีวิตและทำงานในเมืองใหญ่ ที่ซึ่งปัญหาต่างๆ ยุ่งเหยิงวุ่นวายชวนปวดหัว แต่ชายสวมชุดหมีเปื้อนโคลนมอมแมมที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ มีปัญหาที่ละมุนกว่าเยอะ สงสัยวัวเขาหายละมั้งนะ
ไม่รู้สิ" ผมพูด "ผมไม่ได้นับ"
"งั้นนับให้หน่อยได้มั้ยครับคุณ? ช่วยกลับไปนับให้ผมหน่อย"
ผมกัดปากตัวเองพยายามกลั้นหัวเราะ "ก็ได้ๆ ป่ะ.. ไปกัน"
"ขอบคุณครับผม!" เขารีบเดินนำผมกลับไปที่ลานหญ้า พอเราไปถึง ผมทำตามที่รับปาก.. ผมนับวัวว่ามีกี่ตัว
"สิบสองตัว" ผมบอกพลางหันไปหาชายคนนั้น "คุณมีวัวสิบสองตัว"
"คุณแน่ใจเหรอครับ? ลองนับดูอีกครั้งหนึ่งได้หรือเปล่า เพื่อให้แน่ใจน่ะครับ"
ผมรู้สึกรำคาญนิดๆ เพราะมันฟังดูเหมือนเขาพูดเป็นแนวว่าผมนับเลขไม่เป็น แต่ก็ตกลงลองนับดูอีกที "โอ้" ผมพูดอย่างแปลกใจ "สงสัยผมนับผิดไป มีวัวสิบสามตัว" ผมลองนับอีกรอบ "ใช่แล้ว มีวัวสิบสามตัว"
เขาร้องคราง "ผมก็คิดว่าสิบสามตัวครับ ขอบคุณนะครับที่สละเวลา และผมต้องขอโทษที่รบกวนคุณนะครับ ขอบคุณมากๆ ครับ"
"แค่นี้เองเหรอ?" ผมถาม เพราะใจหวังว่าเขาจะขอให้ผมช่วยตามหาวัวที่หายไปให้เขาด้วย ผมรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่เขาไม่ขอให้ช่วย "แค่ให้นับวัวให้เนี่ยนะ?"
"ใช่ครับ" ชายเจ้าของวัวพูด "นอกจากว่า.. นอกจากว่าคุณอยากจะฟังเรื่องอะไรแปลกๆ"
ผมถอดกระเป๋าเป้วางบนพื้น เอามือกอดอกแล้วพยักหน้า "เล่ามาเลย ผมมีเวลา"
"ผมไม่ใช่คนมีการศึกษาครับ แต่ผมรู้จักวัวทุกตัวของผมดี และผมสาบานได้ว่าวัวพวกนั้นไม่ใช่วัวผม ไม่มีทางเป็นไปได้ ผมมีวัวแค่แปดตัว ไม่ใช่สิบสามตัว เมื่อเช้าตอนตื่นมา ผมนับวัวได้สิบตัว ตอนนี้ อย่างที่คุณเองก็เห็นกับตา ว่ามีวัวสิบสามตัว ผมคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นบ้าไปแล้ว แต่คุณเองก็เห็นมันเหมือนกัน วัวทั้งสิบสามตัวนั่น"
ผมมองชายเจ้าของวัว มองหาสัญญาณอะไรสักอย่างที่บ่งบอกว่าเขาล้อผมเล่น ในหน้าที่การงานผม ผมมักจะเป็นคนบอกข่าวร้ายกับคนอื่น และชายที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ดูเหมือนคนพวกนั้นที่ได้ยินข่าวร้าย
"ผมเกือบหวังว่าผมบ้าไปแล้วจริงๆ" เขาพูดต่อ "อย่างน้อยนั่นมันจะอธิบายทุกอย่างได้ เอเบลชายแก่สติไม่ดี ใช้ชีวิตตัวคนเดียวในฟาร์ม จินตนาการถึงวัวที่ไม่มีตัวตนในโลกแห่งความจริง แต่นี่.. ผมไม่รู้ว่าจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ คุณเคยได้ยินเรื่องแบบนี้บ้างหรือเปล่าครับ? ที่ว่าอยู่ๆ ก็มีวัวโผล่มาเอง?" เอเบลยืนเกาหลังคอ "นอกเสียจากว่า.. นอกเสียจากว่าคุณไม่มีตัวตนจริง คุณครับ คุณมีตัวตนจริงๆ หรือเปล่า?"
มันเป็นคำถามน่าขัน แต่บางอย่างเกี่ยวกับคำถามนั้นทำผมขนลุกและทำให้ผมครุ่นคิดจริงจังว่าผมมีตัวตนจริงๆ หรือเปล่า? ผมก้มมองมือตัวเองแล้วนิ่งคิดอยู่พักใหญ่ "จริงสิ" ผมพูด "ผมมีตัวตนจริง "ฉันคิด ฉันจึงมีตัวตน" ถึงสมมุติว่าจะมีปีศาจตนไหนหลอกให้ผมคิดว่าผมมีตัวตนจริง มันก็ยังต้องใช้อะไรบางอย่างหลอกให้ผมเชื่อ เพราะงั้น.. ผมเป็นไอ้บางอย่างนั่น Descartes เขาคิดเรื่องนั้นออกมาตั้งนานแล้วไง"
"งั้นคุณคิดว่านี่เป็นฝีมือปีศาจหรือเปล่า?" เอเบลถามดวงตาเบิกกว้าง "ผมพยายามอย่างที่สุดที่จะใช้ชีวิตโดยไม่ทำบาปครับ แม้ว่าที่สุดแล้วผมจะเป็นแค่มนุษย์เดินดินคนหนึ่ง บางที นี่อาจเป็นบทลงโทษสำหรับสิ่งไม่ดีที่ผมเคยทำ"
ผมคิดถึงความเป็นไปได้อยู่ไม่นาน "การที่วัวโผล่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเป็นการลงโทษเหรอ? ไม่หรอก นั่นมันไม่สมเหตุผลเอาเลย เพราะมันเท่ากับว่าคุณได้วัวมาฟรีๆ จริงมั้ย? มันจะเป็นการลงโทษได้ไงกัน?" ผมเริ่มรู้สึกเป็นปกติอีกครั้งและรู้สึกตลกที่ตั้งใจฟังเขาพูดและคิดว่าเป็นเรื่องจริงจัง แต่ผมก็สงสารเขานะ เขาอยู่ที่นี่คนเดียว อาจจะเป็นโรคความจำเสื่อมขั้นเริ่มต้น ดูเขาอายุยังไม่มากนัก อาจจะสักห้าสิบกว่าๆ ได้ แต่บางครั้งโรคความจำเสื่อมก็เริ่มต้นช่วงอายุนี้
"ฟังนะเอเบล" ผมพูด "ผมไม่ได้จะว่านะ แต่ถามได้มั้ยว่าคุณแน่ใจหรือเปล่าว่าเคยมีวัวแค่แปดตัวเมื่อคืนก่อนเข้านอนน่ะ?"
"ครับ" เอเบลพูด "วัวแปดตัว" จากนั้นเขาเริ่มเรียกชื่อวัวของเขาแต่ละตัว จากอเดลีนถึงเซลด้า "ผมรู้ว่าคุณไม่เชื่อผม แต่ผมมีหลักฐาน" เขาหยิบเอามือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง "ผมถ่ายรูปวัวผมทุกวันช่วงเย็น คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่ผมทำมันแปลก และบางทีมันอาจจะแปลกจริงๆ ก็ได้ แต่ผมอยู่ที่นี่ตัวคนเดียว นอกจากวัวพวกนี้แล้วผมก็ไม่มีใครอื่น เพราะงั้น ลองดูรูปพวกนี้สิครับ"
ผมปัดดูรูปเป็นโหลในมือถือของเอเบลพร้อมเช็กเวลาที่เขาถ่ายรูปทุกรูป และจริงด้วยที่เขามีวัวแปดตัวในรูปทุกรูป ย้อนกลับไปจนถึงเมื่อเดือนก่อน ซึ่งตอนนั้นเขามีวัวเก้าตัว
"ตัวที่เก้านั่นคือเบอร์ต้า" เอเบลพูดน้ำตาคลอ "มันเชื่องน่าดูเลย แต่ดูนี่สิครับ" เขาซูมเข้าไปที่วัวตัวหนึ่งในรูป "นั่นเลซีย์ ดูจุดบนตัวมันสิครับ จุดรูปร่างเหมือนนกนั่น เห็นมั้ยครับ? ทีนี้ลองดูวัวทุกตัวในลานหญ้านี่ แล้วบอกผมทีว่าคุณเห็นจุดที่ว่านั่นมั้ย? วัวพวกนี้ไม่ใช่วัวของผม"
ผมเหลือบไปมองกลุ่มวัวในลานหญ้าและหาจุดรูปร่างเหมือนนกไม่เจอเลย มันทำผมไม่สบายใจพออยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เครียดกว่าเดิมคือ "เอ่อ.. เอเบล"
"ครับ ผมก็เห็นเหมือนกันกับคุณ ตอนนี้มีวัวสิบสี่ตัวแล้ว" เอเบลพูดเสียงสั่น
"ผมแน่ใจว่ามันมีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้" ผมพูดอย่างไม่แน่ใจ พยายามไม่ใส่ใจความรู้สึกหวาดกลัวที่กำลังคลืบคลานเข้ามาในหัว "อาจจะมีวัวอีกตัวที่เพิ่งมาถึงจากฟาร์มอื่นใกล้ๆ นี้ก็ได้ และตอนผมนับได้สิบสามตัว ก็เพราะไอ้ตัวที่สิบสี่มันหลบอยู่หลังต้นไม้หรืออะไรสักอย่าง เราเลยไม่ทันเห็นมัน"
"แต่คุณครับ ฟาร์มอื่นที่ใกล้ที่สุดจากที่นี่มันอยู่ในแลนคาสเตอร์นะครับ วัวมันคงเป็นลมตกหน้าผาไปก่อนจะมาถึงที่นี่แล้วล่ะครับ"
ผมรู้สึกหน้ามืด เลยนั่งยองๆ กับพื้นพยายามคิดหาเหตุผลอื่นที่อาจเป็นไปได้ บางทีเด็กๆ แถวนี้อาจจะพากันวางแผนหลอกเอเบลที่น่าสงสารก็ได้ แต่นั่นจะเป็นการหลอกที่ต้องใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่เลยนะ ถึงจะยกวัวเป็นตัวมาไว้ที่นี่ได้ มันจะเป็นไปได้เหรอ?
ผมมองไปที่ฝูงวัว นอกจากพวกมันจะโผล่มาอย่างลึกลับแล้ว ยังมีบางอย่างเกี่ยวกับพวกมันที่ไม่ถูกต้อง ผมจ้องพวกมันและพวกมันจ้องกลับ ต้องใช้เวลาตั้งนานกว่าผมจะนึกได้ว่าอะไรกันที่ไม่ถูกต้อง "เอ่อ... เอเบล.. วัวมันต้องกระพริบตาสิ ใช่มั้ย?"
"ครับผม ใช่ครับ วัวต้องกระพริบตา"
"แต่วัวพวกนี้ไม่กระพริบตาเลย ดูสิ" ผมพูดตายังมองฝูงวัว
เอเบลหรี่ตามองฝูงวัวคิ้วขมวดมุ่น
นั่นเป็นตอนที่วัวตัวหนึ่งในฝูงทรุดลงกับพื้นแล้วเริ่มหอบแรงๆ ดูเหมือนมันกำลังจะตายไม่มีผิด
"ตัวนั้นกำลังจะออกลูก" เอเบลพูด
"ออกลูกเหรอ" ผมถาม
"ครับผม"
ของเหลวเริ่มไหลออกมาจากช่วงขาหลังของวัวตัวนั้นและผมเริ่มหน้ามืด พวกเราจ้องมันอยู่แค่ไม่กี่วินาทีก่อนมันคลอดเสร็จ
"ถ้าผมพูดผิดบอกผมได้นะเอเบล ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอะไร แต่วัวมันออกลูกเป็นตัวใช่หรือเปล่า?"
"ใช่ครับผม ในชีวิตผมไม่เคยเห็นวัวออกไข่แบบนี้มาก่อนเลย" เขาพูดเสียงสั่น
ไข่ลูกนั้นใหญ่เท่าลูกบาสและเป็นสีเขียวนีออน มันเริ่มสั่นขยับอยู่ในพงหญ้า
" นี่มันเกิดบ้าอะไรกันขึ้นวะเนี่ย.. " ผมพึมพำ "นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน"
เอเบลเปิดปากจะพูด แต่แล้วปิดปากเงียบอีกครั้ง วัวตัวที่เพิ่งออกไข่ลุกขึ้นยืนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเริ่มเคี้ยวหญ้าต่อ สมองผมตะโกนลั่นให้ผมหันกลับ วิ่งกลับไปที่รถที่จอดห่างออกไปหลายกิโล ขับออกไปจากที่นี่แล้วลืมทุกอย่างเสีย แต่ตาผมจับจ้องไปที่วัวที่ไม่กระพริบตา ที่ไข่ใบนั้น และสงสัยว่าทั้งหมดนี่มันหมายความว่าอะไร
"เอเบล คุณพอจะรู้มั้ยว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นที่นี่?"
เอเบลถอนใจก้มมองรองเท้าบูทเปื้อนโคลนของตัวเอง " ผมเคยบอกคุณหรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมียผม? ไม่ใช่เรื่องที่คนในเมืองแถวนี้นินทากันนะครับ ผมหมายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ น่ะ"
ผมห้ามตัวเองไม่ให้ตอบคำถามแบบแดกดัน พวกเราเพิ่งเจอกันเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่แล้วและใช้เวลาทั้งหมดที่มีร่วมกันช่วยกันนับวัว เพราะงั้น แน่นอนว่าไม่เคยหรอก เขาไม่เคยเล่าเรื่องเมียเขาให้ผมฟัง ผมถอนใจแล้วพูด "ไม่เคยหรอกเอเบล แต่ผมอยากฟังนะ"
\*
***ต่อไปนี้เป็นเรื่องของ 'เบเวอลี่' ตามคำบอกเล่าของเอเบล****
ผมเป็นชายที่โชคดีที่สุดในโลก แต่โชคนั้นของผมคงอยู่ไม่นานนัก
เธอชื่อเบเวอลี่ ผมพบเธอครั้งแรกเมื่อ 15 ปีก่อนที่ตลาดเกษตรกรในตัวเมืองที่ซึ่งผมไปขายนมวัวเป็นประจำ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา เธออายุ 22 และผมตอนนั้นอายุ 42 ปี ตอนนั้นเธอเพิ่งเรียนจบมหาลัยและนอกจากจะสวยแล้ว เธอยังฉลาดและมีเสน่ห์เอามากๆ ด้วย ในขณะที่ผม.. คุณก็คงเห็นว่าผมไม่ได้หล่อเหลาอะไร แถมไม่ได้ฉลาดอะไรมากมาย
"มีให้ชิมบ้างมั้ยคะ?" เธอถาม
ผมไม่ได้มาที่ตลาดนี่เพื่อแจกนมฟรี แต่สำหรับเธอแล้ว ผมปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เธอช่างทรงเสน่ห์นัก ผมหยิบนมขวดหนึ่งจากคูลเลอร์แล้วส่งให้เธอ
เธอเปิดฝาขวด ลองดมดู ทันใดนั้นเอง รอยยิ้มขี้เล่นหายวับไปจากใบหน้าเธอและสีหน้าเคร่งขรึมเข้าแทนที่ เธอยกขวดขึ้นดื่ม
"นี่เป็นนมวัวที่ยอดเยี่ยมและบริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่ฉันเคยดื่มมา" เธอพูด "ฉันอยากเห็นฟาร์มของคุณ"
ผมเก็บบูธทันที ไม่มีเงินจำนวนไหนที่จะทำให้ผมปฏิเสธโอกาสที่จะได้อยู่กับสาวสวยคนนี้แม้จะเพียงไม่กี่นาทีก็ตาม คุณต้องเข้าใจนะ ผมไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอ แค่อยากจะใช้เวลากับเธอแค่นั้นเอง สภาพอย่างผมจะหวังมากกว่านั้นได้ยังไงกัน?
ผมพาเธอไปดูฟาร์มของผม ปิดปากเงียบตลอดพูดอะไรไม่ออก แค่พยักหน้าหรือไม่ก็ส่ายหน้าตอบเป็นครั้งคราว พอดูทั่วฟาร์มแล้ว เธอประกาศว่านั่นคือสิ่งที่เธออยากทำ
"คุณหมายความว่าไง?" ผมเปิดปากพูดเป็นครั้งแรกหลังจากได้พบเธอ
"ฉันอยากอยู่ที่ฟาร์มนี่ อยู่กับคุณ ฉันอยากเรียนรู้การใช้ชีวิตที่นี่"
"แต่คุณไม่รู้ชื่อผมด้วยซ้ำนะ" ผมพูด ใจนึกอยากตบกะบาลตัวเองที่กล้าปฏิเสธสาวสวยตรงหน้า
"งั้นก็บอกชื่อคุณมาสิคะ" เธอพูดพลางยื่นมือมาจับมือผม
\*
ขอโทษทีครับที่ผมเล่าเสียยาวเลย แต่ผมคิดว่าคุณควรรู้จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เสียก่อน สิ่งที่คนในเมืองนินทากันมันไม่ใช่เรื่องจริง ผมไม่ได้วางยาหรือล้างสมองเธออย่างที่พวกเขาพูดกัน แต่ผมไม่โทษพวกเขาที่คิดแบบนั้นหรอกนะ มันยากจะเชื่อว่าคนสวยอย่างเธอเลือกที่จะเป็นเมียผม
เบเวอลี่เชื่อจริงๆ ว่าเธอเป็นเอเลี่ยน จากดาวอื่น ไม่.. นั่นไม่ถูกต้อง โทษทีครับ ผมเองไม่เคยเข้าใจเลยว่าเธอหมายความว่ายังไง เธอบอกผมว่าเธอมาจาก "ดาวภายในโลก" จะถูกต้องกว่า เธอบอกว่าคนทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับเอเลี่ยน เอเลี่ยนไม่ได้มาจากดาวอื่นในจักรวาลห่างออกไปเป็นล้านล้านปีแสง แต่พวกเขาอาศัยอยู่ในต่างมิติในที่ที่เดียวกันกับมนุษย์เรา เพียงแต่เรามองไม่เห็นเท่านั้นเอง ผมเองก็ไม่รู้ว่านั่นหมายความว่าอะไร
คุณคิดว่าผมเอาเปรียบสาวสวยสติไม่ดีหรือเปล่า แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย เธอทำงานหนักทุกวันและเธอมีความสุข เธอบอกว่าอยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ผมไม่เคยคิดว่าเธอเป็นเอเลี่ยน แต่บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอไปเอารายละเอียดพวกนั้นมาจากไหน พวกเราอยู่ด้วยกันทุกวันและเรามีความสุข ผมไม่สนว่าเธอเป็นเอเลี่ยนจริงหรือเป็นแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่คิดไปเองว่าตัวเองเป็นเอเลี่ยน สิ่งสำคัญสำหรับผมคือผมรักเธอ และถึงแม้มันยากจะเชื่อ ดูเหมือนเธอก็รักผมด้วย
ห้าปีก่อน เบเวอลี่หายตัวไป ก่อนหน้านั้นเธอพูดอะไรแปลกๆ หลายอย่าง เธอบอกผมว่าได้รับคำเตือนจากโลกของเธอว่ามีเอเลี่ยนอีกประเภทหนึ่งวางแผนจะมาที่โลกเรา
เธอบอกว่าเธอจะต้องหยุดเอเลี่ยนพวกนั้นไม่อย่างนั้นมันจะทำลายล้างโลกนี้
"ทำไมพวกมันถึงอยากจะทำลายโลกที่สวยงามใบนี้ล่ะ?" ผมถาม
"พวกมันไม่ได้อยากจะทำลาย แต่พวกมันจะทำลายโดยไม่คิดว่าอยากหรือไม่อยากทำอะไร พวกมันจะมาที่นี่ คิดว่าเข้าใจโลกนี้มากพอ แต่พวกมันไม่เข้าใจโลกนี้มากพอ พวกมันจะพยายามทำตัวกลมกลืนเพื่อที่จะได้เรียนรู้โลกนี้ พวกมันจะพากันมาที่นี่ ตัวแล้วตัวเล่า จนเต็มโลกไปหมด ฉันไม่รู้ว่าพวกมันจะหน้าตาเป็นยังไงในมิตินี้ แต่มันเคยไปที่อื่นมาก่อน และมันน่าขยะแขยงและโหดร้าย พวกมันจะพากันมาทีละตัวๆ และเปลี่ยนโลกนี้อย่างรวดเร็วจนไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป"
"เราไม่ใช่เจ้าของโลกนี้" ผมพูด เราห้ามได้เหรอว่าใครเข้ามาได้หรือไม่ได้?"
"เอเบล คุณไม่เข้าใจ มันจะเป็นจุดจบของความรัก พวกมันจะพากันเข้ามาที่นี่จนความรักเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีก และไอเดียของคำว่ารักจะไม่มีอยู่อีกต่อไป มันจะเป็นเรื่องเศร้าเอามากๆ"
ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าเธอพูดอะไร รู้แต่ว่าถ้าโลกนี้ไม่มีความรักมันต้องแย่เอามากๆ และผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น
"ฉันต้องหยุดพวกมัน" เบเวอลี่พูด "พวกมันจะมากันคืนนี้ และในเมื่อพวกมันรู้จักโลกนี้จากการลอบฟังการสื่อสารของฉัน พวกมันจะมาที่นี่ ที่ฟาร์มของเรา" เธอเอามือปิดหน้าแล้วร้องไห้
"ผมจะไปกับคุณด้วย" ผมพูด
"ก็ได้ค่ะ" เมียผมพูด "แต่ก่อนไป ฉันอยากให้คุณรู้ว่าคุณสอนให้ฉันรู้จักความรักที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน และมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับฉัน และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันอยากให้คุณรู้ความจริงข้อนี้"
"ผมก็รักคุณ" ผมพูด
ตอนนั้นเอง เธอใช้กะทะตีเข้าที่หัวผมด้วยความเร็วแสง และผมสลบไปในที่สุด
\*
คนในเมืองพูดกันว่าผมคงฆ่าเธอแล้วฝังเธอไว้ที่ไหนสักแห่ง พวกเขาพาสุนัขหาคนหายมาที่ฟาร์ม ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่ฟาร์ม แต่ไม่เคยพบอะไร
ห้าปีมานี้ผมต้องทนทุกข์ทรมาน เจ็บปวดใจยิ่งนัก ผมไม่ได้พยายามพูดให้คุณสงสาร แต่พยายามจะอธิบายว่าบางที.. เอเวอลี่อาจจะไม่ได้คิดไปเอง และบางที.. สิ่งที่เธอบอกผมอาจเกี่ยวข้องกับวัวพวกนี้
\*
*กลับมาที่ฝูงวัว*
ผมยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้นหลังเอเบลเล่าเรื่องของเขาจบ ผมคอยจับสังเกตเขาตลอดเวลา และเหมือนทุกครั้ง เขาดูจริงใจและซื่อสัตย์ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงไม่เชื่อเขาอยู่ดีถ้าไม่ใช้เพราะฝูงวัวตรงหน้า ไอ้วัวประหลาดตาไม่กระพริบออกลูกเป็นไข่ที่โผล่มาดื้อๆ อย่างไม่มีที่มาที่ไป
ผมหันไปมองพวกมันอีกครั้ง ระหว่างที่เอเบลเล่าเรื่องของเขา ฝูงวัวเพิ่มจำนวนขึ้นกว่าเท่าตัว ตอนนี้มีวัว 30 ตัวแล้ว และไข่ลูกโตสีเขียวนีออนอีก 15 ลูกที่ตอนนี้สั่นไหวๆ ในพงหญ้าและเริ่มมีรอยแตกที่เปลือก ผมสงสัยว่ามีตัวอะไรอยู่ข้างในแต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่อยากรู้เลยจริงๆ ว่ามีตัวอะไรอยู่ข้างใน
จากจินตนาการต่างๆ หลายๆ แบบเกี่ยวกับเอเลี่ยนบุกโลก การถูกฝูงวัวเข้าครองโลกดูจะเป็นไอเดียที่โง่เง่าน่าดู ผมเริ่มพิจารณาถึงความเป็นไปได้ว่าพวกเราอาจสมควรโดนเอเลี่ยนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ บางทีมันอาจเป็นเวลาตายของมนุษย์โลกอย่างเราๆ แต่มีอะไรบางอย่างในเรื่องของเอเบลที่ทำผมอิ่มเอมใจ ถึงมนุษย์เราจะโง่เขลา เห็นแก่ตัว และบางครั้งโหดร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เราก็รักเป็นและมีเมตตา และนั่นควรค่าแก่การรักษาไว้
"เราต้องหยุดมัน เอเบล ผมว่านี่คือสิ่งที่เอเวอลี่พูดถึง ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอและผมเสียใจด้วยที่คุณเสียเธอไป แต่เราต้องหยุดไอ้วัวพวกนี้"
"โอ้ ผมไม่มีวันทำร้ายวัวแน่นอน" เอเบลทำท่าตกใจ
"พวกมันไม่ใช่วัวนะ มันแค่ดูเหมือนวัว" ผมพูด
"งั้นพวกมันเป็นอะไรครับ?"
"จะตัวอะไรก็ตาม ผมหวังว่ามันจะไหม้ไฟ เอเบล.. ผมหวังว่ามันจะไหม้ไฟ"
\*
ผมจะฝันร้ายเกี่ยวกับวันนั้นไปตลอดชีวิต
พวกเรานั่งรถแทร็กเตอร์ของเอเบลกลับไปที่ฟาร์มเพื่อไปเอาน้ำมันเบนซินทั้งหมดที่เขามี พอเรากลับมาถึงลานหญ้า ฝูงวัวเพิ่มขึ้นอีกเกินเท่าตัว ผมไม่ได้นับให้เสียเวลาแต่คิดว่ามีมากกว่าร้อยตัวแล้วตอนนี้
พวกเราเดินไปสาดน้ำมันใส่ฝูงวัว มันให้ความรู้สึกแย่น่าดู เพราะพวกมันยืนกันเฉย มองดูเราด้วยดวงตาไร้เดียงสา เอเบลน้ำตาไหลอาบแก้ม ส่วนผมก็แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ พยายามบอกตัวเองว่าไอ้ตัวพวกนี้จริงๆ แล้วไม่ใช่วัว
พอราดน้ำมันใส่ทั้งวัวทั้งไข่แล้ว เราราดน้ำมันใส่ลานหญ้าทั้งหมด จากนั้นจุดไฟ
พอไฟเผาวัวพวกนั้นจนเนื้อเริ่มแตก เราได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสัตว์ประหลาดตรงหน้า มันเป็นเรื่องจริงแน่นอนว่าพวกมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตของโลกนี้หรือแม้แต่ของโลกแห่งความเป็นจริง แต่เป็นชิ้นส่วนร่างกายและไอเดียหลอมรวมกัน นั่นเป็นคำอธิบายเดียวที่ผมนึกออก
มันมีหนวดสีเขียวและม่วงเข้ม บิดสะบัดไปมาชอนไชความคิดและความเป็นนิรันดร์ พวกมันมีขนคลุมร่างกายและมีเกล็ดเหมือนงูแถมด้วยสูตรทางคณิตศาสตร์ตามตัว มันมีกลไกและเกียร์ข้างในตัวและกล้ามเนื้อแข็งแรง ตามด้วยไขมันและเศษแก้วและรูปร่างสามเหลี่ยม มันมีทุกสิ่งทุกอย่างในหนึ่งเดียว..
แต่ไม่มีความรัก..
ร่างที่ถูกไฟเผาของพวกมันมีกลิ่นเหมือนแฮมเบอร์เกอร์และน้ำยาฆ่าเชื้อ ผมรู้ว่ามันฟังดูบ้าบอและเป็นไปไม่ได้ แต่นี่เป็นเรื่องจริง
พอทุกอย่างถูกเผาจนเหลือเพียงเถ้าถ่านตรงหน้าเรา ผมหันไปหาเอเบล "ผมไม่รู้ว่านี่มันเพียงพอหรือเปล่า แต่เราทำทุกอย่างที่ทำได้แล้ว เราทำดีที่สุดแล้วเพื่อน พวกเราทำสิ่งที่ต้องทำแล้ว"
"คุณทำได้ดีเยี่ยม" เสียงผู้หญิงพูดขึ้น
ผมหันขวับไปข้างหลังและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ เธอสวยสดที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในชีวิตนี้ เธอสวมชุดเดรสยาวสีขาว ความงดงามของเธอทำเอาเจ็บตา และผมเริ่มร้องไห้อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
"เบเวอลี่!" เอเบลตะโกน "ที่รักของผม! คุณหายไปไหนมา?! แต่นั่นไม่สำคัญหรอก ตอนนี้คุณอยู่ที่นี่แล้ว!"
"ฉันอยู่ที่ประตูทางเข้า" เบเวอลี่พูด "อยู่ที่นั่นมาตลอดห้าปีถ้านับตามเวลาโลกมนุษย์ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันนานกว่านั้นมาก ฉันรั้งพวกมันไว้ได้นานพอสมควร แต่ในที่สุด มันมาถึงจุดที่ฉันจะทำหน้าที่นี้คนเดียวไม่ได้อีกต่อไป พวกมันผ่านเข้ามาได้ และพวกมันจะทำอีกแน่ นอกจากว่า.. ให้ตายสิ..ฉันไม่อยากให้ทุกอย่างต้องมาถึงจุดนี้เลย!"
"นอกจากว่าอะไร?" ผมถาม "พวกเราต้องทำอะไรที่จะหยุดไอ้ตัวพวกนี้ได้ตลอดไป?"
เบเวอลี่ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย มันทำผมหัวใจแตกสลาย ผมไม่รู้จักเธอและเห็นได้ชัดว่าเธอก็เป็นเอเลี่ยนประเภทหนึ่ง แต่ผมยังรู้สึกสงสารเธอจับใจ "ฉันคิดว่าความทรงจำของความรักจะเพียงพอ" เธอพูด "และมันก็เพียงพอมาพักหนึ่ง แต่ตอนนี้มันไม่พออีกต่อไปแล้ว ฉันต้องการใครสักคนที่ประตูทางเข้า ฉันต้องการความรักที่เต็มไปด้วยชีวิตจิตใจ"
"คุณต้องการเอเบล" ผมพูด
เบเวอลี่พยักหน้า "ประตูทางเข้าเป็นสถานที่เลวร้าย เต็มไปด้วยความน่าหวาดกลัวเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจได้ ฉันไม่อยากให้เอเบลต้องไปที่นั่นเลย ฉันอยากให้เขาอยู่ที่นี่และเลี้ยงวัวอย่างมีความสุข แต่ตอนนี้ฉันต้องการเขา"
"ผมจะไปทุกที่กับคุณ ที่รัก! ทุกที่เลย!"
เอเบลกับเอเวอลี่กอดกัน และดูเหมือนท้องฟ้าสว่างสดใสขึ้นชั่วขณะ
พอพวกเขาแยกตัวออกจากกัน เบเวอลี่หันมาทางผม "ขอบคุณที่ช่วยเอเบลนะคะ ถ้าคุณไม่ได้ผ่านมาที่ฟาร์มตอนนั้น ฉันแน่ใจว่าทุกอย่างคงสายเกินไปสำหรับโลกนี้" เธอยื่นมือมาทางผม ผมเอื้อมไปจับมือเธอและรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นวาบไปทั่วตัว
"ด้วยความเต็มใจครับ" ผมพูด
"ขอบคุณครับ" เอเบลพูดเสียงสั่นเครือ "ผมขอบคุณคุณจริงๆ"
เขาโอบแขนรอบไหล่ผมแล้วดึงผมเข้าไปกอดแน่น
"ดูแลตัวเองด้วยนะเอเบล" ผมพูดพลางใช้มือตบหลังเขาเบาๆ
จากนั้นเอเบลเดินไปยืนข้างเอเวอลี่ พวกเขาจับมือกันแล้วเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกันก่อนหายวับไปกับตา
\*
ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย อย่างที่บอก ผมฝันร้าย ฝันถึงสัตว์ประหลาดเข้าครองโลก ฝันถึง 'ประตูทางเข้า' จิตของผมมองเห็นประตูนั่นได้อย่างชัดเจนตอนหลับ อาจเป็นเพราะเอเวอลี่จับมือผมวันนั้น มันเป็นสถานที่เลวร้าย ไม่มีที่สิ้นสุด เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าหวาดกลัว
และผมรู้สึกโดดเดี่ยว.. ผมได้เห็นความรักที่มีอาณุภาพยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ผมเคยคิดว่าจะเป็นไปได้ แต่ผมไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความรักนั้น ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งของความรักนั้นด้วย แต่ตอนนี้ผมใช้ชีวิตอย่างแปลกแยก (ผมลาออกจากงานและย้ายไปอยู่ในทะเลทราย) และอยู่ด้วยความหยั่งรู้ว่าความเป็นจริงของโลกมนุษย์ช่างบอบบางนัก
เมื่อวันก่อน ผมตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะใช้ชีวิตของผมต่อไปอีกครั้ง นั่นหมายความว่าผมจะต้องกลับไปที่ฟาร์มของเอเบลเป็นครั้งแรกและทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นให้ได้
ตอนไปถึง ผมยืนมองลานหญ้า หญ้าที่ตรงนั้นไม่เคยงอกกลับมาใหม่อีกเลย และผมรู้ว่ามันจะไม่มีวันงอกกลับมาใหม่ได้อีก
ผมยืนอยู่ตรงนั้นนานมากๆ ในใจคิดถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนั้น ผมคิดถึงเรื่องที่เอเบลเล่าให้ฟังว่าเขาใช้ชีวิตอยู่กับเอเวอลี่ถึงสิบปี เขาได้สัมผัสถึงความรักที่ยิ่งใหญ่นั้นทุกวันตลอดสิบปี จากนั้นเธอหายตัวไป อยู่ๆ เขาต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว แต่เขาไม่ยอมแพ้ ยังคงดูแลฝูงวัวของเขาต่อไป ถ่ายรูปวัวพวกนั้นทุกวัน นั่นทำให้ผมรู้สึกมีความหวัง
หลังจากสองสามชั่วโมงที่นั่น ผมรู้สึกดีขึ้นมากจากก้นบึ้งของหัวใจและตัดสินใจจะเดินป่าต่อเพื่อเป็นเครื่องหมายของการเริ่มต้นชีวิตใหม่
พอเดินไปได้สักพัก ไม่ไกลจากลานหญ้ามากนัก ผมเห็นมัน.. ไม่ผิดแน่ นั่นเศษเปลือกไข่สีเขียวนีออน ไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตใดๆ ในโลกนี้
เราพลาดไปหนึ่ง
ไข่ใบนี้คงกลิ้งห่างออกไปตอนพวกเรากำลังวุ่นพยายามจะจุดไฟเผาไอ้สัตว์นรก ผมก้มลงไปเก็บเศษเปลือกไข่นั่นขึ้นมา มันยังอุ่นๆ อยู่เลย
ผมได้ยินเสียงกิ่งไม้หักห่างออกไปในป่าลึกและได้ยินเสียงลึกในจิตผม เสียงเย็นเยือกและอมนุษย์:
สิ่งที่แกทำกับพวกฉัน.. นั่นมันไม่น่ารักเลย..
ผมหันหลังแล้วออกวิ่ง
**** จบบริบูรณ์ ****
❤️❤️ Credit: Thank you slewis, the author of the original story. You are awesome! :)
0 ความคิดเห็น