หวัดดีทุกคน ฉันชื่ออลียาห์ อายุ 33 ปี
หรือเรียกสั้นๆ ว่าลียาร์ หลังจากเกิดเหตุในที่ทำงาน ฉันถูกสั่งให้เข้ารับการบำบัดอย่างน้อยแปดครั้ง และเพื่อเป็นการฟื้นฟู หมอแนะนำให้ฉันพูดคุยอย่างเปิดอกเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เจ็บปวดสมัยเด็ก ฉันเลยคิดว่าจะใช้แพลตฟอร์มนี้เล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนได้ฟัง
เอาละ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
หน้าร้อนปีนั้น หน้าฉันหาย...
ชื่อเรื่องฟังดูตลกดีใช่มั้ยละ มันเป็นเหตุการณ์ประเภทที่ห่างไกลจากส่วนอื่นๆ ในชีวิตฉัน จนเมื่อมองย้อนกลับไปมันรู้สึกเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นจริง ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนอื่นและฉันแค่เล่าเรื่องนี้ให้ตัวเองฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มันเป็นเรื่องจริงนะ และจนถึงทุกวันนี้ ฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าควรจะคิดกับมันยังไงดี
ช่วงฤดูร้อนในปี 2001 ตอนนั้นฉันอายุแค่สิบเอ็ดปี ฉันเล่นกับ "ไอมานี" เพื่อนของฉันทั้งวันจนลืมเวลา ฉันควรจะกลับบ้านทันทีหลังอาหารเย็นที่บ้านเพื่อน แต่ดันเผลอดูหนังจนจบเรื่องถึงได้รู้ตัวว่ามันเลยเวลากลับบ้านไปเยอะแล้ว แม่ของฉันออกจะเป็นห่วงฉันเอามากๆ เสียด้วยสิ เพราะแม่มีฉันตอนท่านอายุมากแล้วแถมฉันยังเป็นลูกสาวคนเดียวอีกด้วย ฉันถูกเรียกว่า "เด็กปาฏิหาริย์" อยู่บ่อยๆ
ตอนนี้ฟ้าข้างนอกมืดแล้ว และเส้นทางกลับบ้านที่สั้นที่สุดคือเส้นที่ต้องเดินผ่านทะเลสาปชื่อ "ทะเลสาปกบ" มันเป็นเส้นทางที่ฉันถูกห้ามไม่ให้เดินผ่านเพราะไฟถนนตรงนั้นเสีย แต่เส้นทางนั้นตัดผ่านสวนสาธารณะ มันเป็นเส้นทางที่เร็วที่สุด ฉันเลยตัดสินใจไปทางนั้น
ฉันเดินตัดผ่านสวนสาธารณะไปได้ครึ่ง พลางหอบหายใจแรงเหมือนม้าแข่ง ผมที่ถักเปียไว้ข้างหนึ่งหลุดลุ่ยและปอยผมคอยจะทิ่มจมูกอยู่ตลอดเวลาทำเอาฉันต้องหยุดเดินเพื่อจามทุกๆ 200 ฟุต ฉันพยายามสุดกำลังที่จะวิ่งให้ได้ตลอดทางแต่ถนนตอนนั้นมืดมากเสียจนเกือบเดินตกถนน ฉันต้องชลอฝีเท้าเพื่อหอบหายใจและพยายามหรี่ตามองเส้นทางให้ชัดเจน คุณไม่อยากหลงทางแถวนี้ เพราะอาจจมน้ำตายเอาง่ายๆ หรือไม่งั้นชายหน้าเหมือนกบจะโผล่มาลากคุณลงทะเลสาปเพื่อกินลูกอ๊อด นั่นเป็นสิ่งที่พวกผู้ใหญ่บอกเราอยู่บ่อยๆ หวังจะทำให้เรากลัวจะได้ไม่กล้าเดินไปแถวนั้น
ฉันหยุดที่ทางแยกบนถนนตอนได้ยินเสียงคนร้องไห้ ไม่ได้ดังอะไรมาก แค่เสียงร้องกระซิกเบาๆ ฟังดูเหมือนเสียงเด็กผู้หญิงที่เด็กกว่าฉันเสียอีก ฉันรู้ว่าฉันควรเดินต่อเหมือนอย่างที่แม่สอนไว้ แต่เสียงร้องไห้นั่นทำฉันรู้สึกเศร้า ฉันต้องเช็กดูว่าเด็กคนนั้นโอเคหรือเปล่า
ฉันสูดหายใจเฮือกใหญ่พลางมองไปรอบตัว เห็นใครคนหนึ่งนั่งบนม้านั่งยาวใต้ไฟถนนดวงเดียวที่ส่องสว่างอยู่ตอนนี้ เธอเป็นเด็กผู้หญิงอายุรุ่นเดียวกันกับฉัน มัดผมเป็นจุกๆ หลายจุก สวมชุดกระโปรงสีฟ้าสว่าง เธอนั่งขดเอาหน้าซบเข่า
ถึงแม่ฉันจะสอนเสมอให้เชื่อฟังคำที่แม่สอน แต่แม่ก็สอนให้ฉันทำตามที่ใจสั่งด้วยเหมือนกัน ฉันเลยเดินเข้าไปหาเธอ..
ฉันลงนั่งข้างเธอที่ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้และสูดน้ำมูกฟุดฟิดเบาๆ ราวกับว่าเธอนั่งอยู่แบบนี้มาทั้งวัน ฉันกระเถิบเข้าไปใกล้อีกนิด
"หวัดดี" ฉันพูด "ฉันชื่อลียาร์"
เธอไม่ตอบ ขยับหันหลังให้ฉัน
"เธอโอเคหรือเปล่า?" ฉันถาม "ร้องไห้ทำไมเหรอ?"
"ทุกคน.. ทุกคนใจร้าย" เธอพูด "พวกเขาใจร้ายและฉันเกลียดพวกเขา"
"ทำไมเหรอ พวกเขาทำอะไรเธอ?"
"พวกเขาใส่สร้อยข้อมือนี่บนข้อมือฉันและฉันถอดมันไม่ออก" เธอร้องไห้ "พวกเขาบอกว่ามันเป็นสร้อยข้อมือของเด็กขี้เหร่"
เธอยื่นมือให้ฉันดูและสร้อยข้อมือนั่น มันดูเหมือนทำจากทองแดงที่มีสี่เหลี่ยมเล็กๆ เชื่อมกับวงแหวนเหล็ก มีภาพเงาคนหลายคนสีขาวฝังอยู่ในสี่เหลี่ยมพวกนั้นและมีรอยสีแดงเหล็กอยู่ตรงกลาง ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ด้านข้างดูคมมากพอที่จะบาดมือได้เลย มันดูอันตรายยังไงก็ไม่รู้
"ไหนดูซิ" ฉันพูด จับมือเธอแล้วขยับเข้าใกล้อีกหน่อย
ตัวสร้อยข้อมือไม่มีตะขอสำหรับใส่หรือถอด แต่วงแหวนบางส่วนดูสึกกร่อนอยู่บ้าง ฉันลองเอาฟันกัดแรงๆ จนเป็นรอยบุบ จากนั้นใช้ฟันดึงจนมันขาดออกจากกัน ปากฉันโดนบาดนิดหน่อย
ทันทีที่สร้อยข้อมือขาดออก เสียงร้องไห้หยุดลงและเด็กคนนั้นหันมาทางฉัน
"ขอบใจนะลียาร์" เธอพูด "ฉันรอให้คนมาช่วยทั้งวันเลย"
และพอเธอคนนั้นหันมา เธอยิ้มให้ฉัน ดวงตาและจมูกของเธอไม่ได้แดงเหมือนเพิ่งร้องไห้มา เธอดูปกติดีทุกอย่าง
และเธอมีหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ...
ฉันมองเธอค้างอยู่แบบนั้น เธอโบกมือให้ฉัน ตอนนี้บนแขนของเธอไม่มีสร้อยข้อมือเส้นนั้นอยู่แล้วและเธอก้าวกระโดดพลางหัวเราะคิกคักอย่างตื่นเต้นขณะเดินห่างออกไป สร้อยข้อมือเส้นนั้นตอนนี้กลายเป็นฝุ่นผงในมือฉัน แสงไฟถนนเหนือหัวที่เป็นไฟดวงเดียวที่ใช้การได้ในสวนสาธารณะแห่งนี้กระพริบ มีบางอย่างผิดปกติเอามากๆ ฉันรีบลุกยืนแล้ววิ่งกลับบ้านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
พอกลับถึงบ้าน พ่อฉันยืนรออยู่ที่ประตู ฉันปิดประตูตามหลัง เตะรองเท้าออกจากเท้าแล้ววิ่งไปหาพ่อร้องไห้โฮ ฉันกอดพ่อไว้แน่นตัวสั่นเทา
หลังเวลาผ่านไปสองสามวินาที ฉันสังเกตว่าพ่อไม่ขยับเขยื้อน ไม่ลูบหลัง ไม่พูดปลอบโยนอะไรทั้งนั้น แถมไม่เรียกชื่อเล่นฉันอย่างรักใคร่เหมือนที่เคย ฉันก้าวถอยหลังแล้วมองพ่อ
พ่อยื่นมือมาข้างหน้าเหมือนเตรียมพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องตัวเอง ดวงตาเบิกโพลงอย่างตื่นกลัวและปากอ้าค้างเหมือนปลาขาดน้ำ พ่อไม่เคยมองฉันดวงสีหน้าแบบนี้มาก่อน
"พ่อคะ..?"
พ่อหงายล้มไปข้างหลังทำเอาโคมไฟบนโต๊ะหล่นกระแแทกพื้น เขาคลานออกห่าง
"จะ.. จาด้า!" พ่อตะโกน "จาด้า!"
ฉันยังร้องไห้ไม่หยุด ฉันกลัวและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อมองฉันเหมือนฉันเป็นสัตว์ป่าน่าสะพรึงกลัว เขารีบวิ่งไปหลังบ้านปากตะโกนเรียกแม่ครั้งแล้วครั้งแล่า เสียงพ่อแหลมสูงอย่างที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ราวกับว่าเขาบาดเจ็บ ฉันทรุดลงนั่งกับพื้นร้องไห้ไม่หยุด
ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นหลายนาทีจนได้ยินเสียงประตูเปิด ฉันไม่ได้เงยหน้ามอง กลัวเหลือเกินว่าจะเห็นสีหน้าพ่อแบบนั้นอีก
"ลียาร์ลูกรัก?" เสียงแม่พูด "ลูกรัก ลูกอยู่ที่นั่นหรือเปล่า?"
ฉันลุกยืน แม่ฉันร้องเรียกมาจากมุมห้อง แม่มีผ้าปิดตาอยู่
"หนูอยู่นี่" ฉันพูด
"มานี่มาลูกแม่"
ฉันเดินไปหาแม่ขณะแม่ยื่นสองแขนมาข้างหน้า พอฉันยืนห่างจากเธอประมาณ 6 ฟุต แม่ทำมือเหมือนให้ฉันหยุดอยู่กับที่
"ช้าๆ ลูก เดินมาช้าๆ นะ" แม่พูดอย่างอ่อนโยน
ฉันเดินเข้าหาแม่ช้าๆ และเราจับมือกัน
"ลูกไปที่ทะเลสาปมาหรือเปล่า?" แม่ถาม "แม่ต้องรู้ บอกแม่มาตามตรง"
"หนู.. หนูไม่อยากกลับบ้านช้า หนูกลัวแม่โมโห" ฉันพูดเบาๆ
"ลูกเลยใช้เส้นทางที่ต้องเดินผ่านทะเลสาปใช่หรือเปล่า?"
ฉันหายใจเข้าลึก แม่ยังบีบมือฉันไว้แน่น
"ใช่ค่ะ หนูขอโทษ"
แม่ฉันกลืนน้ำลาย หายใจติดขัดอย่างตื่นตระหนก
"เราจะแก้ปัญหานี้ด้วยกันโอเคมั้ย?" แม่พูด "เรา.. เราจะแก้ปัญหานี้ด้วยกัน"
แม่เดินคลำทางกลับไปที่ห้องครัวแล้วดึงเอาถุงกระดาษออกมา บอกว่าเราจะเล่นเกมกันและฉันจะได้รางวัลถ้าเอาถุงคลุมหัวไว้ ฉันจะเจาะรูถุงให้มองผ่านถุงออกมาได้ถ้าฉันใส่แว่นกันแดดไว้ข้างใน แต่ห้ามถอดถุงกระดาษออกเด็ดขาด ถ้าจะถอดฉันจะต้องเตือนพ่อกับแม่ก่อน
ตลอดเวลาที่แม่อธิบาย ฉันเห็นพ่ออ้วกหมดไส้หมดพุงที่สวนหลังบ้าน
"ลูกต้องเอาถุงคลุมหัวไว้ตลอดนะ" แม่พูด "สัญญากับแม่นะลูกรัก"
และฉันสัญญา..
คืนนั้น พ่อแทบไม่มองฉันเลย แค่หันมามองด้วยหางตาไวๆ และฉันบอกได้ว่ามันทำพ่อเสียใจ พ่ออยากกอดฉัน อยากปลอบโยนฉัน แต่กลัวเกินกว่าจะทำลง ฉันไม่เคยเห็นพ่อกลัวอะไรมาก่อนเลย การได้เห็นพ่อกลัวฉันแบบนั้นทำฉันใจแตกสลาย ฉันมองเห็นความขัดแย้งในใจพ่อ แต่อย่างน้อยตอนนี้พ่อก็กลับมาเรียกฉันว่า "ลียาร์ลูกรัก" อีกครั้ง
แม่ทำแซนวิชและนมช็อกโกแลตให้ฉันกิน แต่ฉันต้องไปกินในห้องนอน พอกินเสร็จ ฉันต้องเอาถุงคลุมหัวอีกครั้งทันที
คืนนั้น ฉันนั่งกินแซนวิชที่ขอบเตียงเงียบๆ แม่รออยู่นอกห้อง แม่เข้ามาในห้องไม่ได้ถ้าฉันไม่มีถุงคลุมหัว ฉันไม่เข้าใจเลย ฉันจะเข้าใจได้ยังไงกัน?
"แม่" ฉันพูด "เกิดอะไรขึ้นคะ?"
"มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นน่ะลูก" แม่พูด "แต่เราจะแก้ปัญหานี้ด้วยกัน ลูกจะไม่เป็นไร"
"หนูไม่ได้รู้สึกป่วยนะแม่"
"แม่รู้จ้ะ ลูกแข็งแรงดี ลูกแค่ต้องอดทนนะ"
"พรุ่งนี้อิมานีมาบ้านเราได้มั้ยคะ?"
"ไม่ได้นะลูกรัก เพื่อนลูกจะมาที่นี่ไม่ได้จนกว่าลูกจะอาการดีขึ้น"
พอกินเสร็จและฉันเอาถุงคลุมหัว แม่ฉันเดินเข้ามาในห้องเพื่อเก็บจานและเอาแก้วน้ำ, แปรงสีฟัน และยาสีฟันมาให้ ด้วยเหตุผลบางอย่าง แม่ไม่ให้ฉันแปรงฟันในห้องน้ำ
ฉันแปรงฟันเสร็จแล้วเอาถุงคลุมหัวอีกครั้ง แม่บอกราตรีสวัสดิ์กับฉันผ่านประตู ฉันได้ยินเสียงแม่สะอื้นขณะเดินกลับลงไปชั้นล่าง
คืนนั้นฉันนอนไม่หลับและใจเต้นเร็วแรงทั้งคืน ในที่สุดฉันตัดสินใจจะเดินไปเข้าห้องน้ำแต่พบว่าเปิดประตูห้องนอนไม่ได้
ฉันได้ยินเสียงพอกับแม่เถียงกันอยู่ชั้นล่าง
"ผมจะโทรหาพวกเขา" พ่อพูด "พรุ่งนี้เช้า"
"คุณคิดว่าพวกเขาจะ.. จะช่วยเราเหรอ? คุณคิดว่าพวกเขาจะทำเพื่อเราหรือไง?"
"งั้นเราจะทำยังไงล่ะ?" พ่อพูด
"คุณลืมแล้วหรือไงว่าคราวก่อนเราต้องเสียอะไรไป? ลืมไปแล้วเหรอว่าเราแลกลูกของเรามาด้วยอะไร?"
"ผมไม่ได้ลืมอะไรทั้งนั้น แต่เราจะทำยังไงกับเรื่องนี้ล่ะถ้าไม่โทรหาพวกนั้นน่ะ?"
"เราต้องใช้ปืน"
-------
วันรุ่งขึ้นฉันตื่นแต่เช้าตรู่ แม่ฉันมาเปิดประตูให้ฉันออกจากห้องในที่สุด แต่แม่บอกว่ามีกฎสองสามข้อที่ฉันต้องทำตามจนกว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
หนึ่งคือ ฉันจะต้องอยู่แต่ในบ้าน ห้ามออกไปข้างนอก
สอง ฉันต้องไม่มองเงาสะท้อนของตัวเอง ไม่ว่าจะจากแอ่งน้ำ กระจกหน้าต่าง หรือกระจกเงาในห้องน้ำ ห้ามทั้งหมด
สาม ห้ามฉันแตะต้องหน้าของตัวเองโดยไม่ใส่ถุงมือเด็ดขาด (แม่เอาถุงมือเตาอบให้ฉันใส่)
และท้ายที่สุด ถ้าฉันจะถอดถุงกระดาษที่คลุมหัวออก ฉันจะต้องบอกพ่อกับแม่ก่อนล่วงหน้าทุกครั้ง
------------
วันแรกวันนั้นมันแย่มากเลยล่ะ ฉันรู้สึกอึดอัดเพราะไอ้ถุงคลุมหัวบ้าๆ นั่นทำเอาหายใจลำบาก มีอยู่ครั้งนึงที่ฉันเผลอดึงถุงกระดาษออก แม่รีบยกมือขึ้นปิดตาตัวเองก่อนจะสายเกินไป พอฉันเอาถุงคลุมหัวอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าแม่โมโหน่าดู แม่เกือบจะพลั้งมือตีฉันเข้าให้แล้ว ฉันไม่เคยเห็นแม่มองฉันแบบนั้นมาก่อนเลย
"ได้โปรดละ.. ลูก.. ลูกจะถอดถุงกระดาษออกไม่ได้นะ" แม่พูด "ห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาดเลย"
ส่วนพ่อก็ไม่เคยอยู่บ้านเลย ออกไปข้างนอกตลอดวัน จะกลับมาก็แค่เพื่อมาเอาอะไรบางอย่างจากโรงจอดรถ พ่อกับแม่คุยกันนิดหน่อยตรงถนนทางเข้าบ้านก่อนพ่อจะขับกลับออกไปข้างนอกอีกครั้ง ดูเหมือนพ่อร้องไห้แทบตลอดเวลาเลย
ตลอดเวลาช่วงนั้น ฉันใช้ชีวิตในทุกวันโดยมีถุงกระดาษคลุมหัวและสวมถุงมือ แม่เก็บกระจกเงาทุกบานออกจากบ้าน และพ่อเอาเทปสีน้ำตาลแปะคลุมหน้าต่างทุกบานในบ้าน
แม่พยายามทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นโดยการอนุญาตให้ฉันโทรคุยกับไอมานี ตราบเท่าที่ฉันไม่บอกอะไรเพื่อนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้
-----------
ตอนแม่ยุ่งๆ ฉันเกิดนึกถึงกล่องเครื่องประดับของฉันขึ้นมาได้ ฉันเก็บพวกแหวนพลาสติกตุ้มหูแบบหนีบไว้ในนั้น แต่กล่องนั่นมีกระจกอยู่ที่ฝาด้านใน ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าทำไมถึงถูกห้ามไม่ให้มองกระจก ฉันหยิบกล่องเครื่องประดับออกมาแล้วตะโกนบอกแม่ว่าจะถอดถุงกระดาษออกและอยู่ในห้องตัวเองสักพัก
จากนั้นฉันนั่งลงกับพื้นพร้อมกล่องเครื่องประดับในมือ ถอดถุงมือออกแล้วเปิดมัน
ทันทีที่ล็อกคลิกเปิด ฉันรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาตามสันหลัง เหมือนตอนเราจุ่มนิ้วเท้าในน้ำเย็นจัด ตอนนั้นในใจฉันรู้ว่ากำลังทำสิ่งที่ผิด ไม่ใช่เพราะฉันกำลังทำสิ่งที่แม่ห้ามไม่ให้ทำ แต่เพราะฉันกำลังทำสิ่งที่ฉันไม่ควรทำอย่างที่สุดในแบบที่ฉันเองก็อธิบายไม่ถูก
ฉันเปิดกล่องช้าๆ...
วินาทีที่ฉันเห็นแค่เศษเสี้ยวของวงหน้า ฉันได้ยินบางอย่าง มันเป็นเสียงหัวเราะจากที่ไกล เสียงหัวเราะเล็กแหลมน่ากลัว
ฉันกระแทกปิดฝากล่องและเสียงหัวเราะเบาลงกลายเป็นแค่เสียงหัวเราะคิกคัก จากนั้นเงียบไป
มือฉันร้อนเป็นไฟรู้สึกได้ถึงเหงื่อบนนิ้ว รู้สึกกลัวจับใจแต่ก็ต้องเห็นให้ได้
ฉันเปิดฝากล่องเครื่องประดับอีกครั้งและได้ยินเสียงเหมือนพลาสติกเสียดสีกันเบาๆ มันไม่ได้ดังมาจากกล่องแต่ดังมาจากที่ไหนสักแห่งในห้องนี้ ฉันมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นอะไรผิดแปลก ในหูได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังเร็วแรง
และฉันเหลือบขึ้นมอง..
ของเล่นทุกอย่างของฉันเริ่มขยับ หัวของตุ๊กตาทุกตัวเริ่มหันช้าๆ มาทางฉัน ฉันหลับตาปี๋พยายามบอกตัวเองว่าตาฝาดไป หูได้ยินเสียงหัวเราะแหลมอีกครั้ง แต่ตอนนี้มันยิ่งฟังดูบ้าคลั่งกว่าเดิม
ฉันมองกระจกในที่สุดและเห็นช่วงลำคอของตัวเอง ผิวฉันสีเหมือนขี้เถ้าแห้งผาก เส้นเลือดสีดำเลื้อยเลาะไปทั่ว
ภาพคนทุกภาพในภาพโปสเตอร์ติดผนังตอนนี้ต่างหันมาทางฉัน
ฉันค่อยๆเปิดกล่องกว้างขึ้น บางอย่างในตัวฉันอยากจะปิดมัน อยากจะโยนมันทิ้ง ข้างนอก มีเสียงเหมือนฟ้าร้องดังมาแต่ไกล และเสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ
ฉันเริ่มเห็นส่วนคาง ผิวตะปุ่มตะป่ำเคลื่อนไหวไปมาหยุบหยับเหมือนมีอะไรเลื้อยไปมาอยู่ข้างใต้
ฉันยกมือขึ้นจะแตะหน้าตัวเอง ฉันรู้ว่าไม่ควรทำแบบนั้นเพราะนั่นเป็นหนึ่งในกฎที่ต้องทำตาม แต่ฉันมองเห็นมือของฉันขยับเข้าใกล้หน้าตัวเองช้าๆ จากมุมกระจกเงา
ตอนนั้นเอง แม่วิ่งถลาผ่านประตูเข้ามา ที่จริงแม่เคาะประตูเสียงดังอยู่เป็นนานแต่มันเหมือนฉันถูกสะกดจิตเลยได้ยินอะไรบ้าบอเต็มไปหมด แม่วิ่งเข้ามาพร้อมผ้าปิดตาตัวเองในมือถือค้อนจากกล่องเครื่องมือพ่อ
"วางมันลง! วางมันลงเดี๋ยวนี้!"
ฉันวางกล่องเครื่องประดับลงกับพื้นและแม่ฉันเอาค้อนทุบมันครั้งแล้วครั้งเล่าจนแตกเป็นเสี่ยงๆ แม่ทุบมันต่อซ้ำๆ จนหมดแรงและปล่อยค้อนหล่นลงพื้น แม่ควานมือไปทางเตียงฉัน ฉีกปลอกหมอนออกแล้วใช้มันคลุมหัวฉัน จากนั้นแม่เปิดผ้าปิดตาของตัวเองออกแล้วกอดฉันเอาไว้แน่น แม่ร้องไห้โฮอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
"ลียาร์ ลียาร์ได้โปรด!" แม่ร้องไห้ "ลูกต้องฟังแม่! ลูกต้องฟังแม่นะ!"
"หนูขอโทษค่ะแม่"
"แม่เองก็ขอโทษนะลูก" แม่ร้องไห้ยังคงกอดฉันไว้แน่น
----------
เหตุการณ์คืนนั้นทำให้ฉันได้คิดว่าควรต้องเชื่อฟังพ่อกับแม่และทำตามกฎอย่างเคร่งครัด พ่อกับแม่รักฉันและท่านทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหานี้
ทุกอย่างจะต้องโอเค...
ฉันใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นนานสามอาทิตย์ ฉันเลิกถามคำถาม เลิกพยายามแหกกฎ และหวังว่าวันหนึ่งเรื่องบ้าๆ นี่จะจบลงเสียที
----
คืนหนึ่ง ตอนพ่อกลับมาบ้าน ฉันสังเกตว่าปกติพวกพ่อกับแม่จะคุยกันไม่นานก่อนเข้านอนแทบจะทันที แต่วันนี้พวกเขาอยู่ต่อกันเงียบๆ ข้างล่าง
ตอนนี้แม่เลิกล็อกประตูห้องนอนฉันแล้ว ฉันเลยย่องออกมาแอบฟังที่หัวบันได
"เราต้องพาลูกไปที่นั่น" พ่อพูด
"ไม่ได้นะ เราจะทำแบบนั้นกับลูกไม่ได้ ถ้าเราทำแบบนั้น ลูกจะไม่มีวันเหมือนเดิมได้อีก" แม่ร้องไห้
"เราต้องจัดการเรื่องนี้" พ่อยืนกราน "ลียาร์ต้องทำมัน"
--------
วันต่อมา พ่อไม่ได้ออกไปข้างนอกเหมือนทุกครั้ง พ่อนั่งกับฉันตอนแม่เตรียมอาหารเช้า พ่อหันมาหาฉันและฉันมองพ่อผ่านแว่นกันแดดที่ใส่อยู่
ลียาร์ลูกพ่อ คืนนี้เราจะออกไปเที่ยวกัน"
"ข้างนอกเหรอคะ?" ฉันถาม
"ใช่แล้ว" พ่อยิ้ม "เราจะออกไปขับรถเล่นกัน แต่ลูกต้องเชื่อฟังพ่อนะ"
ฉันพยักหน้า "เราจะไปไหนกันคะ?"
"เราจะทำให้ลูกกลับเป็นปกติอีกครั้ง"
"จริงเหรอคะพ่อ?"
พ่อพยักหน้ายังคงยิ้มให้ฉัน แต่ดูก็รู้ว่ารอยยิ้มนั่นไม่จริงใจ...
------------
คืนนั้นพ่อกับแม่มาที่ห้องฉัน ฉันใช้ปลอกหมอนที่ไม่ได้เจาะรูสำหรับมองสวมหัวแทนถุงกระดาษ ฉันมองไม่เห็นอะไรและพ่อกับแม่เอาที่อุดหูให้ใส่ ตอนนี้ฉันมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน แม่กอดฉันแน่น
"ลูกจะไม่เป็นไร" แม่พูด "เข้มแข็งและอดทนนะลูก ทำสิ่งที่ต้องทำนะ"
พ่อกับแม่พาฉันไปที่รถแล้วพวกเราเริ่มออกเดินทาง ฉันได้ยินพ่อกับแม่พูดกันเบาๆ แต่ที่อุดหูบล็อกเสียงแทบทั้งหมด
ฉันรู้สึกได้ว่าสภาพถนนเปลี่ยนไป จากถนนลาดยางธรรมดากลายเป็นถนนเป็นลุ่มดอน ฉันต้องคอยจับที่จับประตูเอาไว้เพื่อพยุงตัว ฉันได้ยินเสียงแม่พูดว่า "แม่ขอโทษนะลูกรัก" แผ่วๆ
หลังจากช่วงเวลาราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์ผ่านไป รถเราชลอและจอดลงในที่สุด ประตูรถเปิดออกและมือหนึ่งนำฉันออกนอกรถ ฉันจำมือของแม่ได้ มันทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัย
แม่นำฉันเดินผ่านทางเดินในป่ารก แม่กับพ่อคุยกันเบาๆ จนในที่สุดแม่ถามพ่อว่า "ที่นี่เหรอ?"
ฉันได้ยินพ่อตะโกนอะไรบางอย่าง แม่เอามือป้องหูฉันเพื่อให้ที่อุดหูกันเสียงได้ดีขึ้น ฉันรู้สึกได้ถึงน้ำเย็นเฉียบที่ซึมเข้ารองเท้าผ้าใบ
พ่อเดินเร็วๆ ผ่านฉันไป มีเสียงเหมือนทะเลาะกันไปมา
แม่ถอดที่อุดหูฉันออก จากนั้นเอาบางอย่างหนาหนักวางบนมือฉัน
"ลูก.. ลูกต้องถอดผ้าคลุมหัวออก" พ่อพูดกับแม่ "เพื่อให้ได้ผล ลูกต้องมองมัน"
แม่ไม่ตอบ เอาแต่ร้องไห้ขณะถอดปลอกหมอนออกจากหัวฉัน
ทุกอย่างเบลอไปหมดตอนฉันพยายามปรับสายตามองรอบตัว ฉันมองเห็นเฉดสีดำ เขียว กลีบดอกไม้สีน้ำเงินถูกย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าฉัน พวกเรากำลังอยู่ในป่าลึก
และตรงหน้า เด็กผู้หญิงที่ฉันพบริมทะเลสาปกบ ตอนนี้มือเท้าถูกมัดทรุดลงนั่งท่ามกลางตะไคร่น้ำเปียกโชก
ในมือฉันมีปืนสั้น...
"ลูกรัก ฟังนะ" แม่พูด "ลูกต้องทำมัน ต้องเป็นลูกเท่านั้นที่เป็นคนลงมือ.. ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น แค่เอาปืนจ่อแล้วเหนี่ยวไก"
พ่อยืนหลับตาอยู่ข้างๆ มือโชกเลือด
เด็กผู้หญิงตรงหน้าฉันตอนนี้ดู.. ดูเหมือนฉัน แต่มีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเธอที่ฉันเองก็บอกไม่ถูก คางของเธอยาวกว่านิดหน่อย ตาห่างกันมากกว่าฉันเล็กน้อย เธอดูเหมือนกัน แต่ไม่เชิงว่าใช่ฉัน
"ไม่ยุติธรรมเลย!" เธอตะโกน "พวกแกมีข้อตกลงกับฉัน!"
"อย่าไปฟังมันลูก อย่าฟัง แค่ส่องปืนไปที่มันแล้วเหนี่ยวไก" แม่พูด
"นังนี่มันมาหาฉันเอง มันปลดปล่อยฉันให้เป็นอิสระเอง!!"
"มัน.. มันเป็นปีศาจ มันไม่ใช่คนหรอกลูก อย่าฟังมัน" แม่พูดต่อ
"พวกมันโยนฉันทิ้งแค่.. แค่เพื่อให้ได้แกมา!" เด็กคนนั้นพูดแล้วถ่มน้ำลาย "แกมันพิเศษอะไรนักหนา? ทำไมแกถึง..ถึงได้มีชีวิตอยู่?"
"เค้าพูดอะไรน่ะแม่? หนูไม่เข้าใจ" ฉันถาม
"ลียาร์ ทำตามที่แม่บอกก็พอลูก อย่า--"
"มันไม่มีปาฏิหาริย์อะไรหรอก!" เด็กผู้หญิงตะคอก "บางอย่างมันก็มีราคามากกว่าอย่างอื่น! แกมันไม่ใช่เด็กปาฏิหาริย์หรอก!!"
สีหน้าของเธอบิดเบี้ยว โครงสร้างกะโหลกดันหน้าที่เธอสวมคล้ายหน้ากากให้นูนออก สีตาเปลี่ยนเป็นออกซีด ผมหลุดร่วง เธอร้องกรี๊ดใส่ฉันพลางแสยะยิ้มบ้าคลั่ง ตอนนี้เธอดูไม่เหมือนคนอีกต่อไปแล้ว
"พวกมันบอกว่ามีได้แค่คนเดียว แค่คนเดียว!" เธอตะโกน
เธอเขยิบเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางผิดมนุษย์ก่อนพ่อฉันเหยียบหลังเธอเอาไว้แล้วกดเธอจมโคลน
"เดาซิว่าใครกันที่ได้เป็นคนๆ นั้น และใครกันที่ถูกโยนทิ้งลงทะเลสาปพร้อมไอ้สร้อยข้อมือบ้านั่น!" เธอถ่มน้ำลาย
ฉันหันไปมองแม่และสายตาแม่สบกับฉัน แม่ห้ามตัวเองไม่ให้มองไม่ได้และเห็นบางอย่า่งที่ไม่ควรเห็น ฉันไม่รู้ว่าแม่มองเห็นอะไร แต่ตาของแม่เบิกกว้างและเสียงกรีดร้องติดอยู่ในลำคอ จากนั้นแม่ตาเหล่อย่างควบคุมไม่ได้และทรุดฮวบลงกับพื้นพลางหอบหายใจ
พ่อก้าวมาหยุดอยู่ข้างหลังฉัน สองมือจับหัวฉันมองไปข้างหน้าแล้วจับมือข้างที่ถือปืนของฉันยกขึ้นเล็งไปที่เด็กคนนั้น ฉันแค่ต้องเหนี่ยวไก..แล้วทุกคนจะปลอดภัย และฉันจะได้ใบหน้าของฉันคืน
"มึงจำวันนี้เอาไว้!" เด็กผีพูดเสียงกร้าว "จำเวลานี้เอาไว้ทุกครั้งที่มึงมองตัวเองในกระจก อีปาฏิหาริย์!"
ฉันเหนี่ยวไก..
--------
ตอนนั้นเองทั้งโลกเหมือนหยุดหมุน จิตฉันมองเห็นภาพตัวเองนั่งจับมือกับพี่สาวที่ฉันไม่เคยมีอยู่ที่ม้านั่งริมทะเลสาปกบ พี่สาว.. ที่ไม่เคยได้มีโอกาสเกิดมาดูโลก.. กำลังจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของทะเลสาบ เป็นการบรรลุคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับอำนาจมืดเบื้องล่าง
---------
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นความทรงจำพร่าเบลอ แม่ฉันถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล พ่อฉันโยนปืนทิ้งลงทะเลสาป ส่วนฉันเองก็ไม่ต้องสวมปลอกหมอนเพื่อปิดหน้าอีกต่อไป หลังจากนั้น พวกเราไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กันอีกเลย
ไม่นานหลังจากนั้น พ่อแม่ของฉันเสีย..
---------
หลังจากนั้นฉันย้ายออกจากเมืองไปอยู่กับป้าที่ต่างรัฐ ฉันใช้เวลาอยู่กับคอมพิวเตอร์เป็นส่วนมากและไม่กี่ปีต่อมาผันตัวเองมาเป็นนักโปรแกรมฟรอนต์เอ็น ได้งานดีพร้อมผลประโยชน์มากมายและย้ายไปออร์แลนโด้เพื่อทำงานในออฟฟิศเต็มตัว ฉันทำงานอยู่ที่นั่นมาสิบเอ็ดปีได้แล้ว
ครั้งหนึ่งเกิดเรื่องขึ้นที่ทำงาน บริษัทได้เซ็นสัญญากับลูกค้ารายใหญ่และหัวหน้าฉันจัดประชุมและเขาให้พวกเราส่งต่อกระจกบานหนึ่งไปรอบห้อง จุดประสงค์คือให้เราแต่ละคนมองตัวเองในกระจกแล้วพูดถึงสิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับตัวเอง
พอถึงตาฉันมองตัวเองในกระจก ฉันตั้งใจจะพูดว่าตัวเองเป็นคนมีอารมณ์ขัน แต่ตอนนั้นพูดอะไรไม่ออกสักคำ
เพราะฉันได้เห็นหน้าของตัวเองนี่แหละ แต่บนหัวมัดจุกหลายจุก
และเห็นเงาสะท้อนของตัวเองขยิบตาให้...
ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น รู้แค่ว่าฉันทำกระจกบานนั้นแตกและพยายามใช้มีดตัดเค้กแทงเพื่อนร่วมงาน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาช่วยควบคุมสถานการณ์และฉันถูกพักงานชั่วคราวเพื่อบำบัดจิต ฉันเป็นพนักงานดีเด่นมาตลอด หัวหน้าเรียกฉันว่า "พนักงานปาฏิหาริย์" พวกเขาเลยไม่อยากไล่ฉันออก
ต้องบอกก่อนว่านอกเหนือจากเรื่องนี้ฉันสบายดีทุกอย่าง ฉันแค่ไม่ชอบกระจก และไม่ชอบคำว่า "ปาฏิหาริย์" เท่านั้นเอง..
บางที.. อาจมีใครสักคนในกระจก.. ที่อยากจะออกมาใช้ชีวิตแทนฉัน
-- จบบริบูรณ์ --
************************************
❤️❤️ Credit: Thank you SATURDEAD, the author of the original story. You are awesome! :)
0 ความคิดเห็น